springgreenのブログ

タイ料理のレシピ รวมสูตรอาหารไทย

สูตรวิธีทำ สเต็กปลาแซลมอน


สูตรลับจานเด็ดจากครัวโรงแรม โดยทีมเชฟเซ็นทารา ขอนำเสนอ “สเต็กปลาแซลมอน” โดย เชฟ คริสเตียน แฮม จากโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล เวิร์ล


โดยเชฟคริสเตียนได้ลงมือสาธิตการทำสเต็กปลาแซลมอน ในแบบฉบับ Centara ให้คุณได้ลองทำที่บ้าน ถ้าพร้อมกันแล้วหยิบผ้ากันเปื้อนเดินตรงเข้าครัว แล้วชมวิดีโอสาธิตไปพร้อมกันได้เลย


วัตถุดิบ: สเต็กปลาแซลมอน

  • ปลาแซลมอน 1 ชิ้น 160 ก.
  • มันฝรั่ง 500 ก.
  • นมสด 200 ก.
  • พาสลีย์ 200 ก.
  • น้ำมันมะกอก 200 ก.
  • เนยสด 300 ก. (สำหรับทำมันบด)
  • เนยสด 200 ก. (สำหรับทำซอส)
  • ครีมสด 100 ก.
  • น้ำเลมอน 1/4 ถ้วยตวง
  • มะเขือเทศขนาดเล็ก 4 ผล
  • ยอดหน่อไม้ฝรั่ง 8 ยอด
  • ผักสลัดต่างๆ หรือสมุนไพรสีเขียว
  • เกลือหยาบ

วิธีทำสเต็กแซลมอน:

  • เริ่มด้วยการล้างมันฝรั่งและสะเด็ดน้ำให้แห้งก่อนนำไปพักไว้ในชาม จากนั้นค่อยๆ โรยเกลือปริมาณเล็กน้อยผสมเข้ากับนมสดและเนยเย็นจนได้รสชาติที่ต้องการ
  • ทำการปรุงรสปลาแซลมอน ด้านที่เป็นเนื้อก่อน แล้วนำด้านที่เป็นส่วนหนังวางลงบนกระทะด้วยน้ำมันมะกอก
  • เมื่อส่วนหนังปลาเริ่มเปลี่ยนสีออกน้ำตาลทอง ให้นำออกจากกระทะออกมาอบต่อ
  • นำแซลมอนเข้าเตาอบด้วยความร้อน 180°C รอจนความร้อนลดลงถึง 42 °C โดยวางให้ด้านที่เป็นส่วนหนังหงายขึ้น ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
  • ระหว่างที่รออบเนื้อปลา ให้นำหน่อไม้ฝรั่งมาผัดบนกระทะด้วยความเร็วด้วยน้ำมันมะกอก เนย และน้ำ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีการทำซอส:

  • เริ่มทำซอสเขียว ด้วยการปั่นน้ำมันมะกอก พาสลีย์ สมุนไพร หรือ เครื่องเทศสีเขียวที่ชอบเข้าด้วยกัน
  • เพิ่มกระเทียมที่ปลอกแล้วลงไป
  • ปั่นช้าๆ และค่อยๆ เพิ่มน้ำมันมะกอกจนได้ความเข้มข้นที่ต้องการ

Read : วิธีทําสเต็กหมู ทำเองไม่ง้อร้าน ทำขายก็กำไร

วิธีการเตรียมผักต่าง ๆ สำหรับสเต็กปลาแซลมอน :

  • ผ่าครึ่งมะเขือเทศเล็กเป็นสองส่วน
  • ปลอกหน่อไม้ฝรั่งเพื่อนำส่วนที่เป็นใบเล็กๆ ออก
  • ผ่าเลมอนเป็นสองส่วนและนำเมล็ดออกให้หมด
  • ปลอกเปลือกมันฝรั่งและนำไปต้มในน้ำเหลือจนนิ่ม
  • ห้ามทำการหั่นมันฝรั่ง แต่ให้ทำการเช็คอุณภูมิและความนิ่มด้วยการจิ้มมีดลงไปทดสอบ
  • ล้างผักสลัดให้สะอาด สลัดน้ำออก หยดน้ำมันมะกอกและโรยเกลือหยาบลงไป
  • ทำการต้มครีมสดและค่อยๆ นำเนยใส่ลงไปทีละนิด คนให้เข้ากันช้าๆ จนได้ระดับความเข้มข้นที่ต้องการ จากนั้นให้บีบน้ำเลมอนลงไป
  • จัดใส่จานให้สวยงามตามความชอบ ใครได้ลองทำตามสูตรกันแล้ว

รู้หรือไม่ ผลไม้เบอร์รี่ เพื่อสุขภาพ มีอะไรบ้าง

ในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อเรื่องสุขภาพ ต้านอนุมูลอิสระ มีสีสันสวยงาม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่มักมีรสเปรี้ยวและรสหวาน มีกลิ่นหอม และมีชนิดเบอร์รี่มีหลายประเภท มีทั้งเบอร์รี่ผลไซส์เล็ก กลมมน  ช่วยชะลอวัย บำรุงสายตา ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง รับประทานแล้วไม่อ้วน ช่วยป้องกันไข้หวัด มะเร็งและโรคต่างๆอีกมากมาย หลายคนคงสงสัยว่า เบอร์รี่มีกี่ชนิด ชนิดเบอร์รี่มีอะไรบ้าง ประเภทเบอร์รี่รสชาติเป็นอย่างไร ประโยชน์ของเบอร์รี่ 9 ชนิด มีอะไรบ้าง วันนี้ ช้อนกลาง บริการอาหารกล่อง ข้าวกล่อง เดลิเวอรี่มืออาชีพขอพาทุกท่านไปพบกับเรื่องน่ารู้ของชนิด เบอร์รี่ 🍇  ยอดนิยมว่ามีอะไรบ้าง ไปกันเลย

สำหรับใครที่มีผลผลิต เบอร์รี่ เยอะๆ แนะนำให้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ สามารถทำกำไรได้มากมาย ซึ่งในปัจจุบันได้มีผลไม้แปรรูปส่งออกมากมาย หากใครอยากทำเป็นธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมเล็กๆ ควรมี ตู้อบลมร้อน ซึ่งมีราคาเริ่มต้นแค่ 5000 บาทเท่านั้น ชองเข้าไปดูของ SGE ได้ที่ https://www.sgethai.com/hot-air-oven มีให้เลือกมากมายเลยแถมทนทาน และมีบริการหลังการขายดีมาก

เชอร์รี่ (Cherry)  🍓

เชอร์รี่เป็นผลไม้รสชาติหวานอมเปรี้ยว มีลักษณะเป็นลูกสีแดงเข้ม ทรงกลม เป็นผลไม้เมืองหนาวที่มักปลูกในทวีปยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย ประโยชน์ของเชอร์รี่คือ มีวิตามินซีและโพแทสเซียมสูง กินแล้วผิวพรรณดีและช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหดตัวได้ดีอีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังต่างๆ ประเภท มะเร็ง หัวใจ เบาหวาน เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะมาก และไฟเบอร์ที่ได้จากการกินเชอร์รี่ก็ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย ลดการสะสมของไขมันได้ด้วยนะคะ แม้เชอรี่จะเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างปลอดภัยต่อสุขภาพของทุกคน แต่หากรับประทานแล้วเกิดความผิดปกติต่อร่างกายควรหยุดรับประทานและไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยรวมถึงรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

บลูเบอร์รี่ (Blueberry) 🍓


เป็นพืชไม้ดอกทรงพุ่ม มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ สายพันธุ์ของต้นบลูเบอร์รี่มีหลายขนาด ตั้งแต่สายพันธุ์ขนาดเล็ก “lowbush blueberries” ความสูงประมาณ 10 ซม. ไล่ไปจนถึงสายพันธุ์ขนาดใหญ่ “highbush blueberries” ที่อาจมีความสูงถึง 4 เมตรทีเดียว บลูเบอร์รี่ผลไม้ลูกกลมๆ สีน้ำเงินอมม่วงนี้มีต้นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาเหนือ เป็นหนึ่งในเบอร์รี่ยอดฮิตที่คนทั่วโลกชอบกินกัน รสชาติหวานอมเปรี้ยว จะกินสดๆ หรือนำไปทำเป็นขนมหวานก็อร่อยทั้งนั้น จุดเด่นคือกากใยสูง แคลต่ำ เหมาะกับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักเพราะกินแล้วอิ่มนานขึ้น และช่วยบำรุงสมองป้องกันโรคความจำเสื่อมเมื่อสูงวัยด้วยนะ นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวชะลอการแก่อีกด้วย

สตรอว์เบอร์รี่ (Strawberry) 🍓

ยังคงยืนหนึ่งเรื่องความยอดนิยมก็เป็นได้สำหรับผลไม้ชนิดนี้! เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่เรารู้จักกันดี เป็นเบอร์รี่ยอดนิยมของคนไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Fragaria × ananassa จากข้อมูลพบว่าผลไม้ชนิดนี้ไม่ได้อยู่ในพืชวงศ์ตระกูลเบอร์รี่ (แค่มีชื่อเรียกเหมือนเฉยๆ) เพราะความจริงสตรอว์เบอร์รี่อยู่ในพืชวงศ์กุหลาบ เป็นผลไม้ที่รักอากาศหนาว ปัจจุบันสามารถปลูกได้ทางตอนเหนือของไทยแล้ว รสหวานหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอมหวานเฉพาะตัว ประโยชน์คือกินแล้ว ช่วยลดความดันโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงสายตา และมีสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ สามารถทานสด ทำน้ำสตรอเบอร์รี่ปั่น หรือฝานบาง ๆ ใส่น้ำแร่เป็นน้ำอินฟิวส์ (Infused Water) และเมนูของหวานแสนอร่อยหลากหลาย

มัลเบอร์รี่ (Mulberry) 🍓

จัดเป็นผลไม้โปรดของคนรักสุขภาพเลยค่ะ คนไทยบางส่วนเรียกผลไม้ชนิดนี้ว่า ลูกหม่อน จัดอยู่ในพืชตระกูล Moraceae มีทั้งสีม่วงเข้มจะมีรสหวาน สีแดงอมม่วงรสชาติหวานเปรี้ยว มัลเบอร์รี่สามารถปลูกได้เองในเมืองไทย ซึ่งพบเยอะสุดๆ ที่จ.เพชรบูรณ์ มีลักษณะเป็นพวงเล็กๆ สีแดงและม่วงเข้ม รสชาติเปรี้ยวอมหวาน กินสดก็อร่อย หรือปั่นเป็นเครื่องดื่มก็ดีจุดเด่นคือมีสาร Anthocyanins ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ กินแล้วผิวแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน รวมถึงมีสาร Deoxynojirimycin ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย นอกจากนี้ยังนิยมมาคั้นน้ำ ทำเป็นแยม และรับประทานสด มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยให้ความจำดีขึ้น แถมยังต้านมะเร็งอีกด้วย

ราสพ์เบอร์รี่ (Raspberry)

เป็นผลไม้สีแดงอมชมพูเข้ม อุดมด้วยกรดเอลลาจิก (Ellagic) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เกิดและโตได้ดีในพื้นที่หนาว แถมยังช่วยป้องกันมะเร็งได้เป็นอย่างดี โดยมีหลายเมนูที่สามารถใช้ราสเบอร์รี่เป็นส่วนประกอบ เช่น ไอศกรีมราสเบอร์รี่ คัพเค้กราสเบอร์รี่ คุ้กกี้ราสเบอร์รี่ แยมราสเบอร์รี่ และใช้มิกซ์กับสลัดผักก็อร่อยให้รสชาติดี จุดเด่นคือเป็นผลไม้ต้านโรคมะเร็งและป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระและกรดเอลลาจิก ช่วยไม่ให้สารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็งจับกับ DNA นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี ซี เอ ทานแล้วช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอยและบำรุงผิวได้ดีอีกด้วยนะคะ ราสเบอร์รี่นั้นถือว่าเป็นสุดยอดผลไม้ที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์เลย

แบล็กเบอร์รี่ (Blackberry) 🍓


เป็นผลไม้หน้าตาคล้ายราสพ์เบอร์รี่ที่มีสีม่วงเข้มหรือดำ คุณสมบัติใกล้เคียงกับบลูเบอร์รี่ แต่บางสายพันธุ์มีรสฝาดจึงถูกนำไปบ่มเป็นไวน์ ประโยชน์คือ มีสารไบโอฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง ลดความเสี่ยงให้การเป็นโรคหัวใจด้วยนะ นอกจากนี้ผลไม้ชนิดนี้นิยมนำมาทำเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการบ่มไวน์ ด้วยลักษณะเนื้อของ “แบล็คเบอร์รี่” นั้นไม่ได้มีกลิ่นหอมและรสหวานฉ่ำ ที่จะเหมาะมาทำอาหารหรือขนมหวานที่หลายๆคนชื่นชอบ แต่กลับเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์มากมายใกล้เคียงกับ สมุนไพร เลยก็ว่าได้ เรียกได้ว่า จิ๋วแต่แจ๋ว จริงๆเลยนะคะเนี่ย

แครนเบอร์รี่ (Cranberry) 🍓


แครนเบอร์รีจัดอยู่ในกลุ่มไม้พุ้มแคระไม่ผลัดใบหรือมีลำต้นเป็นเถายาว พบในพรุที่เป็นกรดตลอดบริเวณหนาวในซีกโลกเหนือ ซึ่งเป็นหนึ่งในเบอร์รี่ที่สาวๆชอบเจอเวลากินเค้กหรือขนมปัง ลูกกลมๆ สีแดงเข้ม ขนาดจิ๋ว มีรสชาติเปรี้ยวเป็นหลัก


จุดเด่น คือวิตามินและแร่ธาตุค่อนข้างสูง มีสาร Proanthocyanidin ที่ช่วยแก้อาการโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ป้องกันการยึดเกาะของเชื้อแบคทีเรียที่ผนังกระเพาะปัสสาวะได้ นอกจากนี้แครนเบอร์รี่ยังเป็นแหล่งวิตามินและเกลือแร่หลากชนิด ทั้งวิตามินซี วิตามินอี วิตามินเค1 แมงกานีส และทองแดง ซึ่งล้วนเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และยังอุดมไปด้วยสารชีวภาพหลายชนิดที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ


source by : https://www.sgethai.com/article/10-%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A5-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%9B%E0%B8%A3/

วิธีทำ ยำหูหมู สำหรับคนชอบรสจัด

ยำหูหมู เป็นอีกหนึ่งเมนูยำอาหารยอดนิยมระดับต้นๆ ในแบบพื้นบ้านของไทยสามารถทำกินเองได้ที่บ้านง่าย ๆ การทำไม่ซับซ้อน หูหมูยำรสเปรี้ยว หวาน เค็ม คลุกกับผัก เหมาะสำหรับคนชอบทำอาหาร และเมนูกับแกล้ม เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่การเลือกหูหมู กับน้ำยำที่รสขาติจัดจ้าน


ด้วยความกรุบกรับจากกระดูกอ่อนตรงส่วนหูของหมู ผสมกับน้ำยำแซบ ๆ ทำให้ยิ่งกันยิ่งมัน เคล็ดลับการทำ ยำหมูหมูแก้ว หูหมูต้องเป็นหูหมู ที่เป็นแท่งเนื้อแน่นเป็นชิ้น รสชาติของน้ำยำให้มีรส เปรี้ยว หวาน เค็ม เท่ากัน ส่วนรสเผ็ด ตามใจชอบ การคลุกหูหมูกับน้ำยำ ให้เตรียมน้ำยำและเครื่องเคียงให้เรียบร้อยก่อน ใส่ หูหมูแก้ว ลงไปคลุกขั้นตอนสุดท้าย


สูตรหมูหมูแก้ว มี ขั้นตอนการทำที่ค่อนข้างยาก หูหมูแก้วทำอย่างไร เรามี สูตรหูหมูแก้ว มาให้แล้วใน สูตรอาหาร ก่อนหน้านี้ วิธีทำยำหูหมูแก้ว หูหมูแก้ว อาหารที่หาทานยาก นำมา ทำยำหูหมูแก้ว น้ำยำรส เปรี้ยว หวาน เค็ม คลุกกับ ผัก และ หูหมูแก้ว เป็น อาหาร เมนูยำ ที่อร่อยมาก

วิธีทำ ยำหูหมู

วัตถุดิบสำหรับทำยำหูหมู 🥩

  • หูหมู 1 หู
  • แตงกวา 1 ลูก นำมาหั่นเป็นเส้น
  • คืนฉ่าย 1 ต้น นำมาซอย
  • มะเขือเทศ 1 ลูก นำมาหั่นซีก
  • หอมหัวใหญ่ ครึ่งลูก นำมาซอยเป็นเส้น
  • พริกขี้เหนูสวน 4 เม็ด นำมาบดละเอียด
  • กระเทียม 2 กลีบ บดละเอียด
  • ผักกาดหอม 3 – 4 ใบ
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต้ะ
  • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต้ะ
  • น้ำปลา 2 ช้อนโต้ะ
  • ถั่วลิสงคั่ว 1 ช้อนโต้ะ

วิธีทำ ยำหูหมู 🥩

  1. นำหูหมูมาล้างให้สะอาด จากนั้น เผาหูหมูให้ขนหาย จากนั้นใช้มีดโกนขูดผิวหมู ให้ขนออกให้หมด
  2. ต้มน้ำให้เดือด นำหูหมูลงไปต้มให้สุก จากนั้นนำมาซอยเป็ยชิ้นขนาดพอดีคำ
  3. ปรุงรสน้ำยำ โดย ใส่น้ำตาลทราย น้ำปลา น้ำมะนาว พริกขี้หนูสวน และ กระเทียม ผสมให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน
  4. ใส่หูหมูลวกลงไป ใส่ ถั่วลิสง คื่นฉ่าย หอมหัวใหญ่ ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากับน้ำยำ
  5. นำผักกาดหอมจัดจานให้สวยงาม และ เทยำที่ทำไว้ลงไป เพียงเท่านี้ก็สามารถรับประทานได้

เคล็ดลับการทำยำหูหมู

  1. การเลือกหูหมู ให้เลือกหูหมูที่สด โดยสังเกตุจากสีของหูหมูต้องดูสดๆ ไม่เน่า เนื้อแน่น ไม่มีเมือกเกาะหูหมู
  2. การเตรียมหูหมู ให้นำหูหมูมาเผาขนก่อน และนำมาลวก และขูดผิวหูหมูอีกครั้งให้ขนที่หูหมูออก เพราะหูหมูมีขนแข็งและไม่น่ารับประทาน
  3. การปรุงน้ำยำสำหรับทำยำหูหมู รสชาติจะต้องจัดจ้านเข้าไว้ โดย น้ำตาล น้ำปลา และ น้ำมะนาว นั้น อัตราส่วนเท่ากัน ส่วนความเผ็ดนั้น ตามใจชอบ
  4. น้ำตาลที่เหมาะสำหรับนำมาทยำ ควรใช้น้ำตาลทราย เพราะ น้ำตาลมีความหวานและละลายง่าย เหมาะสำหรับนำมาทำอาหาร เมนูยำ
  5. ถั่วลิสงคั่ว ต้องเลือกใช้ ถั่วลิสงคั่วใหม่ๆ เนื่องจากความหอมของถั่วลิสงคั่ว จะทำให้รสชาติของอาหารอร่อยขึ้น
  6. พริกสำหรับนำมาทำยำ ให้เลือกใช้ พริกขี้หนูสวน รสชาติและความเผ็ดมาก ถึงใจ

การเก็บรักษาหูหมู เมื่อทานไม่หมด หรือ ส่วนที่ไม่ได้ใช้งาน ให้เก็บใน ถุงซีลสูญญากาศ และแพ็คปากถุงให้เรียบร้อย เพื่อให้คงความสดของหูหมู และ รสชาติ ไว้ได้นาน
ที่มา nlovecooking.com