springgreenのブログ

タイ料理のレシピ รวมสูตรอาหารไทย

ของหวานเย็นๆ คลายร้อน ทำง่ายๆ ในครอบครัว


เมนู ของหวานเย็นๆ ช่วยดับร้อนของร่างกายเราได้ หากคุณมีวันหยุดถ้ามีเวลาว่างอยากหา กินอะไร เย็นๆ หรือ เมนูคลายร้อน ง่ายๆ ทำกินกันภายในครอบครัว และทำง่ายๆ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวอีกด้วย วันนี้ โจอี้ แนะนำ เมนูของวานเย็นๆ ได้แก่ วุ้นผลไม้ วุ้นแตงโม บิงซูเมล่อน ลอดช่องน้ำกะทิ วุ้นกะทิ เฉาก๊วย สูตรเหนียวหนึบ ไอศกรีมกะทิ เลือกสูตรขนมที่ชอบแล้วลองทำตามได้เลยน้า

ไอศกรีมถั่วดำ  

ส่วนผสม ไอศกรีมถั่วดำ ไอติมกะทิโบราณ

  • หัวกะทิ (กะทิกล่อง) 500 ml.
  • นมข้นหวาน 200 กรัม
  • ถั่วดำดิบ 120 กรัม
  • น้ำต้มถั่ว 300 ml.
  • แป้งข้าวโพด 35 กรัม
  • เกลือ 1/2 ช้อนชา
  • กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา

วิธีต้มถั่วดำ
1. นำถั่วดำดิบมาล้างน้ำให้สะอาด
2. นำถั่วดำแช่น้ำไว้ 1 คืน
3. ต้มถั่วดำให้สุกและนิ่มดี
4. กรองน้ำออกแล้วนำถั่วดำมาพักไว้


วิธีต้มถั่วแบบง่ายๆ ดูที่นี่เลย > เคล็ดลับ ต้มธัญพืช ต้มถั่ว ลูกเดือย ให้สุกเร็ว ประหยัดเวลา ไม่เปลืองแก๊ส


วิธีทำ ไอศกรีมถั่วดำ ไอติมกะทิโบราณ
1. เตรียมหม้อ ใส่น้ำต้มถั่วดำ แล้วใส่แป้งข้าวโพดลงไปคนให้แป้งละลายดี
2. ใส่หัวกะทิ นมข้นหวาน เกลือ แล้วนำหม้อไปตั้งไฟ ใช้ไฟกลาง
3. ต้มส่วนผสมจนเดือดและข้นขึ้น จากนั้นใส่กลิ่นวานิลลา คนให้เข้ากันแล้วพักไว้ให้เย็น
4. นำส่วนผสมมากรองด้วยตะแกรง 1 รอบ
5. แบ่งตักถั่วดำใส่พิมพ์ไอศกรีม แล้วหยอดน้ำไอศกรีมลงไป แล้วเสียบไม้ไอศกรีม หรือตักใส่ถุงน้ำจิ้มแล้วมัดให้แน่นแช่ช่องฟรีส 1 คืน
6. รอจนเช้าก็จะได้ไอติมกะทิถั่วดำแบบโบราณ พร้อมทานแล้วค่ะ


ข้อมูลจาก
Facebook : ครัวพิศพิไล
Youtube : ครัวพิศพิไล


เต้าหู้นมสด


ใครขายน้ำเต้าหู้เป็นทุนเดิม ถ้าหน้าร้อนยอดขายอาจฝืดไปสักนิด ลองเพิ่มสินค้าอย่างเต้าหู้นมสด หรือเต้าฮวยนมสด สูตรทำขนมขายหน้าร้อนกระตุ้นยอดหน่อยก็เหมาะนะคะ ส่วนผสมไม่มีน้ำเต้าหู้ใส่ลงไปเลยค่ะ มีแค่นมสด เติมความหวานด้วยฟรุตสลัดผลไม้ เป็นอีกทางเลือกสำหรับลูกค้าที่อยากกินขนมดับร้อน หรือลูกค้าที่ไม่ชอบกลิ่นหืนของถั่วเหลืองค่ะ ลองทำขายสักครั้ง อาจได้ขายยาว ใครจะไปรู้


ส่วนผสม เต้าหู้นมสด


• ผงเจลาติน 3 ช้อนชา
• น้ำเปล่า 1 ถ้วย + 1/2 ถ้วย
• นมสด 3 ถ้วย
• นมข้นจืด 1 ถ้วย + 1/2 ถ้วย
• ผงวุ้น 2 ช้อนชา
• นมข้นหวาน 1 1/2 ถ้วย
• กลิ่นมะลิ 1 ช้อนชา
• ฟรุตสลัด 1 กระป๋อง
• กีวีหั่นเต๋า
• แก้วมังกรหั่นเต๋า


วิธีทำเต้าหู้นมสด
1. ผสมน้ำเปล่ากับผงเจลาตินในหม้อแล้วคนให้ละลาย ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที
2. พอครบ 10 นาทีแล้ว เทนมสดและนมข้นจืดลงไปในน้ำเจลาตินที่แช่ไว้ ค่อย ๆ เทผงวุ้นลงไป นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ และหมั่นคนเป็นระยะ ๆ ต้มจนส่วนผสมเริ่มเดือด
3. ใส่นมข้นหวานและกลิ่นมะลิลงไปคนให้เข้ากัน รอจนเดือดอีกครั้ง ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้สักครู่
4. นำส่วนผสมวุ้นไปกรองผ่านตะแกรง ตักส่วนผสมใส่ถ้วยประมาณ 1/2 ถ้วย จากนั้นนำเข้าแช่เย็นจนส่วนผสมเซตตัวดี
5. ก่อนเสิร์ฟตักฟรุตสลัดและผลไม้ใส่ลงไปตามชอบ แต่งให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ


สูตรจาก cooking.kapook.com

ซ่าหริ่ม

เห็นภาพซ่าหริ่ม ขนมไทยแล้วอยากทำกินเองและทำขายไปพร้อมกัน ใครสนใจขอแนะนำสูตรจาก คุณนัทจัง สบายดี สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม วัตถุดิบไม่เยอะ ต้นทุนต่ำ จะใส่ถุงขายก็ได้ หรือจะใส่ถ้วยพลาสติกสวย ๆ ก็เจิดค่ะ ซ่าหริ่มราดกะทิหอม ๆ โปะน้ำแข็งเย็น ๆ แหม… อร่อยชื่นใจ


ส่วนผสม ซ่าหริ่ม
• แป้งถั่วเขียว
• น้ำเปล่า
• น้ำใบเตย
• น้ำเย็น


ส่วนผสม น้ำเชื่อม
• น้ำตาลทราย 250 กรัม
• น้ำเปล่า 250 มิลลิลิตร
• ใบเตย 2-3 ใบ


หมายเหตุ : *** การทำน้ำเชื่อม น้ำตาลทราย 100 กรัม ต่อน้ำเปล่า 100 มิลลิลิตร


ส่วนผสม น้ำกะทิ


• กะทิอบควันเทียนสำเร็จรูป 1 กล่อง


วิธีทำซ่าหริ่ม
1. เอาแป้งถั่วเขียวผสมกับน้ำเปล่า ถ้าสีเขียวนัทใช้น้ำใบเตยค่ะ คนให้เข้ากันด้วยไฟอ่อนจนแป้งเหนียวได้ที่
2. จากนั้นนำแป้งไปกดโดยใช้ที่กดซ่าหริ่มให้ตัวซ่าหริ่มไหลลงไปสู่น้ำเย็น
3. เมื่อครบ 5 นาทีแล้วตักตัวซ่าหริ่มขึ้นมาพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
4. เมื่อเราทำตัวซ่าหริ่มเรียบร้อยแล้ว ก็เสิร์ฟโดยใส่กะทิอบควันเทียนและน้ำเชื่อมได้เลยค่ะ ก่อนรับประทานให้ใส่น้ำแข็งลงไปแค่นี้ก็อร่อยแล้วค่ะ


สินค้าแนะนำ: เครื่องทำบิงซู สเปคสูง ผลิตบิงซูได้มากถึง 90 กิโลกรัม/ชั่วโมง เครื่องทำน้ำแข็งใสปุยหิมะ ของแท้ คุณภาพอันดับ 1 จาก SGETHAI สามารถทำงานได้ต่อเนื่องได้นาน เหมาะสำหรับผผู้ที่ต้องการใช้งานหนักได้ เครื่องทำบิงซู มาพร้อมบริการซัพพอร์ตมืออาชีพ ซื้อ เครื่องทำบิงซู ไปแล้วมีปัญหาสามารถติดต่อทีมงานเพื่อรับการซ่อมได้เลย

ทับทิมกรอบ

สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากทำเมนูทับทิมกรอบขายหน้าร้อน เข้ามาจดสูตรด้านล่างกันเลย มีตั้งแต่วิธีการทำทับทิมกรอบและวิธีทำน้ำกะทิ ถ้าอยากสร้างความต่างลองทำมรกตกรอบเป็นอีกทางเลือกได้เลยค่ะ


ขนมไทยอย่างทับทิมกรอบ หวานหอมกะทิอบควันเทียน ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟเย็น ๆ นี่มันฟินยิ่งกว่าอะไรดี แต่ปกติที่เราเห็นทับทิมกรอบก็มักจะเป็นสีชมพูไม่ก็สีแดง แต่วันนี้ประปุกดอทคอมจะชวนมาทำ "มรกตกรอบสีเขียว" ใส่ลงไปด้วย เป็นสูตรมาจาก คุณ BlackPiano สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่จะช่วยเพิ่มความน่ากินเข้าไปอีก แถมยังเป็นสูตรกะทิอบควันเทียนหอม ๆ อีกด้วย แค่นึกภาพตามก็ไม่ไหวจะเคลียร์แล้ว


ส่วนผสม ทับทิมกรอบ

​​ •​ ​น้ำลอยดอกมะลิ
​​ •​ ​กะทิสำเร็จรูป 1 กล่อง
​​ •​ ​เกลือป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
​​ •​ ​ใบเตยมัดเป็นปม
​​ •​ ​เทียนสำหรับอบขนม
​​ •​ ​แห้ว
​​ •​ ​สีผสมอาหารสีแดงผสมน้ำ
​​ •​ ​สีผสมอาหารสีเขียวผสมน้ำ
​​ •​ ​แป้งมัน
​​ •​ ​น้ำตาลทราย (ไม่ขัดสี)
​​ •​ ​น้ำแข็งบด


วิธีทำทับทิมกรอบ


​​ ​​​​►​ ​นำดอกมะลิมาลอยในน้ำทิ้งไว้ เตรียมไว้สำหรับทำน้ำเชื่อมเพื่อความหอมสดชื่น


วิธีทำกะทิอบควันเทียน


​​ ​​​​►​ ​ผสมน้ำกะทิกับเกลือ ใส่ใบเตยมัดเป็นปมลงไป นำขึ้นตั้งไฟ ต้มแค่พอร้อน


​​ ​​​​►​ ​จุดเทียนสำหรับอบขนมแล้วเป่าให้ดับ ใส่ลงในถ้วยเล็ก ๆ นำไปลอยในน้ำกะทิ ปิดฝาหม้อ อบทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นนำเทียนขึ้นมาจุดใหม่แล้วใส่ลงไปอบซ้ำหลาย ๆ ครั้ง (ยิ่งนานยิ่งดี) เตรียมไว้


วิธีทำทับทิมกรอบ
​​ ​​​​►​ ​หั่นแห้วเป็นชิ้นเล็ก ๆ (ซื้อแห้วกระป๋องมา แห้วสด ๆ ก็ยิ่งดี เพราะราคาถูกกว่ากระป๋อง แต่แบบกระป๋องจะหอมหวานกว่าเพราะเค้าแช่ในน้ำเชื่อมมาแล้ว บางคนก็ใช้มันแกวนะ แต่บอกเลยว่าไม่อร่อยเท่าแห้วหรอก มันแกวนาน ๆ ไปจะแห้ง ความกรอบก็สู้แห้วไม่ได้)
​​ ​​​​►​ ​ผสมน้ำกับสีผสมอาหารทั้ง 2 สี เตรียมไว้
​​ ​​​​►​ ​ใส่แห้วที่หั่นแล้วลงไปคลุกในสีผสมอาหารแต่ละสีให้เข้ากัน พักไว้ (ให้สีที่ตัวแห้วอิ่มตัวดี ๆ อยากแดงมากก็ทิ้งนาน ๆ แดงน้อยก็ทิ้งแป๊บเดียว)
​​ ​​​​►​ ​ใส่แห้วทั้ง 2 สีลงคลุกในแป้งมัน (บางคนก็ใส่แป้งท้าวลงไปนิดนึง) คลุกให้แป้งเคลือบดี แล้วร่อนแป้งส่วนเกินออก
​​ ​​​​►​ ​นำไปลวกในน้ำเดือดจนแห้วลอยขึ้นมา
​​ ​​​​►​ ​ตักใส่ลงในน้ำเย็น พักไว้


วิธีทำน้ำเชื่อมใส่ทับทิมกรอบ
​​ ​​​​►​ ​ต้มน้ำลอยดอกมะลิที่เตรียมไว้กับน้ำตาลทรายไม่ขัดสี และใบเตย เคี่ยวให้เหนียวเล็กน้อย เตรียมไว้
​​ ​​​​►​ ​ตักทับทิมกรอบและมรกตใส่ถ้วย ตามด้วยน้ำเชื่อม กะทิ และน้ำแข็งบด พร้อมเสิร์ฟ


ขนมไทยหลากสีสัน 2 สี 2 สไตล์แถมยังได้กลิ่นหอม ๆ จากทั้งน้ำเชื่อมที่มีกลิ่นของมะลิ และน้ำกะทิหอมควันเทียน ได้กินสักคำคงจะวางช้อนไม่ลงทีเดียว

แจ้งสูตร วาฟเฟิล ทำง่ายๆ สร้างรายได้เสริม

วาฟเฟิล หอมเนย เนื้อฉ่ำ กรอบนอกนุ่มใน ใครก็ปฎิเสธไม่ลง วันนี้เราเลยจะมา แจกสูตรทำ สูตรขนม วาฟเฟิล กรอบนอกนุ่มใน ทำกินได้ ทำขายปัง! เมนูขนมที่หลายคนหลงรัก ส่งกลิ่นหอมทุกครั้งที่เดินผ่าน โดยวันนี้น้องเหน่งจะนำสูตรทำวาฟเฟิลแบบละเอียดยิบ จดสูตรไปทำกินเองที่บ้านได้ง่ายๆ หรือใครอยากจะนำสูตรไปทำขายสร้างอาชีพ บอกเลยปัง เปลี่ยนไส้ได้ตามชอบ สูตรนี้แป้งกรอบนอกนุ่มในเนื้อแน่น! ถ้าพร้อมแล้ว ไปทำวาฟเฟิลไปพร้อมกันเลย!

รู้จักกับ วาฟเฟิล กันหน่อย!

วาฟเฟิล (Waffle) เป็นอาหารจานโปรดที่เกิดขึ้นมา 100 กว่าปีแล้ว คาดว่ามีขึ้นในศตวรรษที่ 13 ขนมวาฟเฟิล (Waffle) มาจากภาษาดัตซ์ Wafel หมายถึง ชิ้นส่วนของรังผึ้ง ก็มีแป้งสาลี น้ำตาล ไข่ และนม นำมาราดบนแผ่นเหล็กที่ร้อน ๆ ในสมัยกรีกโบราณ ต่อมาก็มีคนคิดแผ่นเหล็กร้อนมาประกบกัน และเพื่อทำให้สุกอย่างรวดเร็ว


สูตรวาฟเฟิล แป้งกรอบ เนื้อนุ่ม อร่อยฟิน ๆ

เบื่อไหมกับเมนูวาฟเฟิลจากร้านดัง แม้จะอร่อย แต่ขี้เกียจต่อคิวซื้อ ขอไปช้อปปิ้งเครื่องทำวาฟเฟิล เพื่อมาทำกินเองดีกว่า โดยสูตรวาฟเฟิล สุดฮิต อย่างเช่น วาฟเฟิลออริจินัล วาฟเฟิลไอศกรีม วาฟเฟิลบราวนี่ วาฟเฟิลฮ่องกง หรือถ้าชอบความสะดวกใช้แป้งวาฟเฟิลสำเร็จรูปก็ได้นะครับ


วิธีทำวาฟเฟิลรสออริจินัล วาฟเฟิลหอมเนย ราดน้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้งตามชอบ กินตอนอุ่น ๆ อร่อย ฟินสุด ๆ

ส่วนผสม

  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • นมสด 1 ถ้วย
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • เนยสดละลาย 50 กรัม
  • กลิ่นวานิลลา เล็กน้อย
  • แป้งอเนกประสงค์ 100 กรัม
  • ผงฟู 1 ช้อนชา
  • เบกกิ้งโซดา ½ ช้อนชา
  • เกลือป่น เล็กน้อย
  • ครีมออฟทาร์ทาร์ เล็กน้อย
  • น้ำเชื่อม หรือน้ำผึ้งตามชอบ (สำหรับราด)

วิธีทำแป้งวาฟเฟิล

  1. แยกไข่แดงกับไข่ขาวออกจากกัน และผสมนมสด กับน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน เตรียมไว้
  2. เปิดเตาอบวาฟเฟิลเตรียมไว้
  3. ตีผสมนม ที่ผสมน้ำมะนาว กับเนยละลาย และไข่แดงให้เข้ากัน ใส่กลิ่นวานิลลาลงไป ตีผสมด้วยเล็กน้อย ร่อนแป้ง ผงฟู เบกกิ้งโซดา และเกลือป่นลงไป ตีผสมจนเป็นเนื้อเดียว และไม่เป็นเม็ด เตรียมไว้
  4. ตีไข่ขาวกับครีมทาร์ทาร์ จนเป็นฟองละเอียด แล้วใส่น้ำตาลทรายลงไป ตีจนไข่ขาวตั้งยอดอ่อน จากนั้น นำไปตะล่อมกับส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้ให้เข้ากัน
  5. พอเตาวาฟเฟิลร้อนแล้ว ตักส่วนผสมหยอดลงไป ปริมาณแล้วแต่ชอบ อบจนสุก แกะออกจากเตา จัดใส่จาน ราดด้วยน้ำเชื่อมตามชอบ พร้อมเสิร์ฟ

แนะนำบทความ อัพเดท 2022 แนะนำ 5 เครื่องตีแป้ง น่าใช้งาน ราคาไม่แพง มีแบรนด์ไหนบ้าง

วาฟเฟิล ฮ่องกง


สูตรวาฟเฟิล ฮ่องกง สูตรนี้ใช้เครื่องทำวาฟเฟิลฮ่องกง ใครอยากเติมไส้ลงไปก็ตามชอบ หรือจะกินแค่แป้งอย่างเดียวก็อร่อยไม่แพ้กัน


ส่วนผสม

  • แป้งสาลีอเนกประสงค์ 230 กรัม
  • แป้งเท้ายายม่อม 55 กรัม
  • ใส่ผงฟู 20 กรัม
  • น้ำตาลทราย 130 กรัม
  • ไข่ไก่ 2 ฟอง
  • น้ำมันรำข้าว 50 กรัม
  • นมสด 1 ถ้วย
  • น้ำเปล่า 1 ถ้วย หรือน้ำปูนใส
  • วานิลลา 1 ช้อนกินข้าว
  • เนยละลาย 90 กรัม
  • น้ำมันพืช (สำหรับทาพิมพ์)

วิธีทำแป้งวาฟเฟิล

  1. ใส่แป้งสาลี กับแป้งเท้ายายม่อมลงในอ่างผสม ใส่ผงฟูลงไป เติมน้ำตาลทราย ผสมพอเข้ากัน เตรียมไว้
  2. ใส่ไข่ไก่กับน้ำมันรำข้าว เทนมสดลงไป ตีผสมให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่าลงไป (ถ้าเป็นน้ำปูนใสจะดียิ่งขึ้น คือ กรอบนาน) ใส่กลิ่นวานิลลาลงไป ค่อย ๆ ใส่ส่วนผสมแป้งลงไป ตีผสมให้เข้ากันดี สุดท้ายใส่เนยละลายลงไป ตีผสมให้เข้ากัน
  3. ใช้แปรงจุ่มน้ำมันทาให้ทั่วเตาวาฟเฟิลฮ่องกงแค่ตอนแรก และอุ่นเครื่องให้ร้อน หยอดแป้งลงไป เกลี่ยหน้าแป้งให้บาง ๆ ทั่วพิมพ์ จากนั้นให้พลิกเครื่องกลับด้านทันที อบด้านละประมาณ 2 นาที รีบเอาออกจากเครื่อง ม้วนให้กลม ๆ หรือไม่ม้วนก็ตามชอบ พร้อมเสิร์ฟ

วาฟเฟิล เบลเยี่ยม

ส่วนผสม วาฟเฟิล

  • ไข่ไก่เบอร์ 0 / large eggs = 2 ฟอง
  • น้ำตาล / Sugar = 35 g
  • นมสดจืดอุ่นๆ /Milk ,Lukewarm = 100 ml
  • นมข้นจืดอุ่นๆ / Evaporated Milk ,Lukewarm = 90 ml
  • (สามารถใช้นมสดทั้งหมด 190 ml แต่ถ้าใช้ผสมกันจะหอมมันอร่อยกว่า All milk can be used )
  • กลิ่นวานิลลา / Vanilla Extract = 1 ช้อนชา( ใช้กลิ่นเนย หรือเนยนมก็ได้ตามชอบ)
  • แป้งขนมปัง / Bread flour = 300g
  • แป้งเค้ก / Cake flour = 180g
  • หัวนมผง / Milk powder = 10 g
  • เกลือ / Salt = 1/2 ช้อนชา Teaspoon
  • ยีสต์ / instant yeast = 7 g (3 ช้อนชา)
  • เนยสดจืด / Unsalted Butter = 190g


TOPING
น้ำตาลทรายแดงคาราเมล / Brown Caramel sugar


วิธีทำ วาฟเฟิล

  1. ตีไข่ไก่ในชามผสม เติมน้ำตาล นมสด นมข้นจืด กลิ่นวานิลลาลงไป ขนให้เข้ากัน
  2. ร่อนแป้ง เกลือ และนมผงลงไป ใส่ผงยีสต์
  3. ตีด้วยเครื่องตี ความเร็วต่ำ 1-2 นาที จากนั้นทยอยใส่ของเหลวที่ผสมไว้ลงไป
  4. พอแป้งเข้ากันเป็นรูป ค่อยใช้ความเร็วขึ้น นวดจนส่วนผสมเข้ากันเป็นก้อน จากนั้นใส่เนยลงไป
  5. นวดจนส่วนผสมเข้ากันจนเนียน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
  6. คลึงแป้งให้เป็นก้อนกลมๆ หน้าเรียบ แรปปิด ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง หรือดูให้แป้งขึ้นเป็น 2 เท่า
  7. จากนั้นหยิบมานวดไล่ลมออก ตัดแบ่งเป็นก้อนละ 40 กรัม หรือขนาดตามชอบ
  8. คลึงเป็นลูกกลมๆ แล้ววางใส่ถาด แรปปิด จากนั้นนำไปแช่ในตู้เย็นอย่างน้อย 6 ชั่วโมงหรือข้ามคืน
  9. จากนั้นนำออกมาคลึงแล้วใส่ไส้ตามชอบ ม้วนปิดไส้ นำไปคลึงด้วยน้ำตาลทรายแดง
  10. วางใส่เครื่องทำวาฟเฟิล ใช้ความร้อนต่ำค่อนกลาง เป็นเวลา 4-5 นาที เป็นอันเสร็จ

สูตรจาก
Youtube : PIMMY TASTY



ปลูกโรสแมรี่ ยังไงให้รอดในเมืองไทยไปดูกัน


เชื่อว่าผู้ชื่นชอบต้นไม้ต่างตกหลุมรักและต้องการ ปลูกโรสแมรี่ สมุนไพรฝรั่งซึ่งมีพุ่มเตี้ยทรงสวย ใบเรียวยาวและกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ไม่เพียงปลูกในกระถางเดี่ยวประดับตามมุมบ้าน ริมกำแพงหรือรั้วบ้านเท่านั้น แต่ยังนิยมปลูกแทรกผสมผสานกับไม้ดอกไม้ประดับอื่น ๆ ในสวนสวยหลายสไตล์ โดยเฉพาะสวนอังกฤษที่ให้กลิ่นอายสวนชนบทยุโรป ปลูก


ทำความรู้จัก โรสแมรี่


โรสแมรี่ (Rosemary) เป็นพืชจัดอยู่ในวงศ์กะเพรา มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน ลักษณะเด่น คือ ใบ จะมีรูปร่างคล้ายเข็ม ยาว 2-4 เซนติเมตร กว้าง 2-5 มิลลิเมตร มีกลิ่นหอม และเขียวอยู่ตลอดปี ด้านบนของใบมีสีเขียว ด้านท้องใบเป็นสีขาว และมีขนปกคลุม ดอกมีหลายสี เช่น สีขาว สีชมพู สีม่วง หรือสีฟ้า


ประโยชน์ของต้นโรสแมรี่นั้น สามารถนำมาใช้ปรุงอาหาร เพื่อทำให้มีกลิ่นหอม รวมถึงลดกลิ่นคาว นิยมใช้ในการทำสเต็ก และอาหารอิตาเลียน เช่น พิซซ่า ขนมปังอิตาลี ที่เรียกว่า ฟอคคาเซีย ฯลฯ ไปจนถึงใช้ตกแต่งจานอาหารให้มีความสวยงาม อีกด้านหนึ่งคือ สามารถใช้เป็นพืชสมุนไพร นำมาสูดดมกลิ่น เพื่อช่วยรักษาไข้หวัด แก้ไอ รับประทานเพื่อทำให้ชุ่มคอได้อีกด้วย


ด้วยรูปทรงที่สวยงาม ประโยชน์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะในด้านการทำอาหาร ทำให้โรสแมรี่ เป็นพืชที่ปลูกแล้ว สามารถสร้างรายได้ให้เกษตกรได้จำนวนมาก ปัจจุบัน ราคาขายโรสแมรี่ต่อต้น เริ่มต้นที่ 60 บาท ไปจนถึงราคาต้นละ 2,500 บาท ตามขนาดและอายุของแต่ละต้น หากนับเป็นรายเดือน จะสามารถสร้างรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 80,000 – 90,000 บาท เลยทีเดียว


กรรไกรตัดกิ่งไฟฟ้า แบบไร้สาย สะดวกสบายในการตัดแต่งกิ่งไม้ ตัดกิ่งต้นไม้ เสียงกรรไกรตัดกิ่งเบามาก ถ่านหรือแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานถึง 12 ชั่วโมง ตัดกิ่งง่ายๆ ภายในพริบตา แค่กดปุ่มเดียว

ปลูก โรสแมรี่ ยังไงให้รอดในเมืองไทย


โรสแมรี่ จริง ๆ แล้วเป็นพืชที่ปลูกง่าย และไม่ต้องการการดูแลอะไรมากมาย อย่างไรก็ตาม ก็มักมีคนที่ปลูกไม่รอดเสมอ เนื่องจากไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของมัน ดังนั้น ก่อนปลูก คุณจึงควรรู้จักก่อนโรสแมรี่ให้ดีก่อน ว่าต้องการการดูแลอย่างไร ซึ่งปัจจัยที่ทำให้โรสแมรี่เติบโตได้ดี มีหลัก ๆ อยู่ 6 ปัจจัยด้วยกันคือ


1. ดินต้องระบายน้ำได้ดี


โรสแมรี่ไม่ชอบน้ำขัง เพราะจะทำให้รากเน่า คุณจึงต้องมั่นใจว่า ดินนั้นมีความร่วนซุยมากพอ ที่จะทำให้น้ำสามารถไหลผ่านได้ง่าย ซึ่งถ้าหากไม่มั่นใจ ควรใช้กาบมะพร้าวผสม หรือ ใช้ดินก้ามปู ที่ระบายน้ำได้ดีมาใช้ในการปลูก


2. ปลูกในพื้นที่กลางแจ้ง หรือ แสงแดดมากพอ


เนื่องจากมีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีสภาพอากาศอบอุ่น โรสแมรี่จึงชอบแสงแดดจัด ซึ่งก็เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเรามาก ๆ ดังนั้น หากมีพื้นที่กลางแจ้ง ก็สามารถปลูกโรสแมรี่ไว้ได้เลย หรือ ถ้าใครปลูกในกระถาง ก็ให้วางไว้ในที่โดนแสงแดดเพียงพอ


3. รดน้ำ ไม่น้อยไป ไม่มากไป


เมื่อปลูกโรสแมรี่ คุณไม่จำเป็นต้องรดน้ำมันเช้า – เย็น เหมือนกับพืชอื่น ๆ เพราะนั่นอาจทำให้โคนต้นเน่าและไม่ติดรากได้ การรดน้ำ จึงควรพอดี ไม่น้อยไป ไม่มากไป โดยแนะนำให้รดน้ำตอนเช้า 1 ครั้งเท่านั้น แค่ให้พอดินชุ่ม หรือ มีน้ำไหลออกจากดินในกระถาง ไม่จำเป็นต้องรดทุกวัน หากอยากรู้ว่าเวลาไหนควรรดน้ำ ให้สังเกตสภาพอากาศและสภาพดินเป็นหลัก หากอากาศร้อน หรือ ดินแห้ง ให้รดน้ำได้ แต่ถ้าวันไหนฝนตก อากาศชื้น ก็ไม่ต้องรดน้ำ


4. ต้องมีระยะห่างระหว่างต้น


การปลูกโรสแมรี่ ไม่ควรปลูกชิดติดกัน ดังนั้น หากจะปลูกในแปลง หรือ แม้แต่ในกระถาง ก็ควรเว้นระยะห่างให้เพียงพอ เพื่อให้ต้นโรสแมรี่มีอากาศถ่ายเท และได้รับแสงแดดเต็มที่ สำหรับระยะห่างของการปลูกในแปลง ควรอยู่ที่ 50 เซนติเมตร ส่วนในกระถาง แล้วแต่ความเหมาะสม หรือ ปลูกแยกกระถางได้ยิ่งดี


5. ห้ามโดนฝนเด็ดขาด


ดังที่บอกไปแล้วว่า โรสแมรี่ไม่ชอบน้ำเยอะ ดังนั้น ในฤดูฝน หากปลูกในกระถาง ต้องยกหลบฝน อย่าให้โดนน้ำฝนเด็ดขาด ส่วนใครที่ปลูกกลางแจ้ง แนะนำให้ทำเต็นท์คลุม หรือ ย้ายไปไว้ในโรงเรือน ก็จะลดโอกาสรากเน่า หรือ ต้นโรสแมรี่ตายได้


6. เจอราให้เด็ด เจอแมลงให้ฉีด


เมื่อมีความชื้นมาก เชื้อราก็อาจขึ้นใบโรสแมรี่ได้ง่าย หากเจอก็ให้เด็ดเฉพาะส่วนใบออกทันที ในกรณีที่เจอแมลง เช่น เพลี้ยไฟ ซึ่งชอบกัดกินโรสแมรี่ จนทำให้ใบเป็นสีน้ำตาล ให้ฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้ หรือ น้ำยาชีวภาพทั้งหลาย เพื่อป้องกันและทำให้ใบต้นโรสแมรี่มีความสวยงาม


วิธีการปลูกต้นโรสแมรี่ให้เติบโตได้ดี


การปลูกต้น โรสแมรี่ แนะนำให้ซื้อต้นโรสแมรี่ที่ติดรากแล้ว ซึ่งมีอายุ 1 เดือนขึ้นไปมาใช้ในการปลูก เพราะจะมีโอกาสรอดสูงที่สุด หลังจากนั้น 4 เดือน ก็จะเริ่มเก็บเกี่ยวได้แล้ว ส่วนวิธีการปลูกต้นโรสแมรี่ยังไง ให้เติบโตได้ดีนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วิธีด้วยกันก็คือ การปลูกลงดิน และ ปลูกในกระถาง ซึ่งก็ต้องการเทคนิคและวิธีการที่แตกต่างกันไป ดังนี้


ปลูกลงดิน
ให้ทำการปลูกโดยการขุดยกร่อง เสร็จแล้ว ไถเปิดหน้าดิน แล้วตากแดดไว้ก่อน 7 วัน เพื่อฆ่าเชื้อ จากนั้น ปรุงดินโดยใส่ปูนขาว 30 กรัม/ตารางเมตร ร่วมกับ ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 – 2 กิโลกรัมต่อตารางเมตร คลุกให้เข้ากัน แล้วขุดหลุมเว้นระยะห่าง 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ย 15-15-15 ปริมาณ 20 กรัม/หลุม เสร็จแล้ว จึงค่อยนำต้นกล้าโรสแมรี่ลงปลูก ผ่านไป 15 – 20 วัน จึงใส่ปุ๋ย 46-0-0 + 15-0-0 สัดส่วน 1:1 ปริมาณ 20 กรัม/ต้น เพื่อเร่งให้โต


ปลูกในกระถาง
ให้ผสมดินสำหรับปลูกในกระถาง ประกอบด้วย กาบมะพร้าวสับ 3 ส่วน ดินร่วนหรือดินใบก้ามปู 1 ส่วน แกลบดิบ 1 ส่วน แกลบเผา (แกลบดำ) 1 ส่วน และปุ๋ยคอก 1 ส่วน จากนั้น จึงนำต้นกล้าโรสแมรี่มาลงปลูก


ตัดใบโรสแมรี่อย่างไร ให้ยังคงความสวยงาม


เมื่อใบของต้นโรสแมรี่ เริ่มโตเต็มที่ จนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว เราก็สามารถใช้กรรไกรตัด เพื่อนำมาใช้งานได้ แต่ถ้าอยากให้ต้นโรสแมรี่ยังคงมีพุ่มสูง สวยงาม เราจะต้องรู้วิธีการตัดที่ถูกด้วย เพราะถ้าตัดไม่ถูกวิธี อาจทำให้พุ่มเตี้ย ไม่สวยงามได้


ซึ่งเทคนิคในการตัดนั้น ให้ตัดกิ่งด้านข้าง ๆ ไปใช้งานก่อน ไม่ตัดกิ่งด้านบนหรือตรงกลางออก เพราะจะทำให้ต้นเป็นทรงพุ่มเตี้ย ไม่สวยงาม ทั้งนี้ ควรตัดแต่งกิ่งโรสแมรี่ ในช่วงหน้าฝนเป็นพิเศษ เพราะจะช่วยให้ทำให้ต้นโรสแมรี่มีพุ่มที่บาง อากาศถ่ายเท ทำให้ใบไม่เก็บความชื้น จนเกิดเชื้อราขึ้นได้


โรสแมรี่ เป็นพืชชนิดหนึ่ง ที่ปลูกแล้ว สามารถสร้างรายได้ดี เพราะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย โดยเฉพาะในด้านการทำอาหาร จึงทำให้มีมูลค่าค่อนข้างสูง ยิ่งพุ่มสูง สวยงาม ก็ยิ่งมีราคา ดังนั้น หากใครสนใจอยากปลูกโรสแมรี่แล้วละก็ สามารถลองนำเคล็ดลับและวิธีการที่เรานำมาฝาก ไปทำตามกันได้ ไม่แน่ว่า อาจสร้างรายได้จำนวนมากให้กับคุณ ได้อย่างคาดไม่ถึง