springgreenのブログ

タイ料理のレシピ รวมสูตรอาหารไทย

แนะนำอุปกรณ์ทำขนมที่ต้องมี

อุปกรณ์เบเกอรี่

อุปกรณ์พื้นฐานขั้นเริ่มแรกสำหรับมือใหม่หัดทำเบเกอรี ไม่ว่าจะทำเบเกอรีแบบไหน ขนมไม่อบ คุกกี้ เค้ก ก็ต้องใช้สิ่งเหล่านี้ ไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง เชื่อเถอะว่าถ้ามีอุปกรณ์พื้นฐานที่ถูกใจ ถนนสู่เส้นทางเบเกอรีของคุณก็จะราบรื่นเหมือนไฮเวย์

สำหรับใครที่ชอบทำขนม หรือ เบเกอรี่ ต่างก็หลงใหลใน รสชาติ และกลิ่นหอมกรุ่นของแป้ง โดยเฉพาะหากใครทำอบขนมเอง ก็จะได้ติดใจกลิ่นหอมๆ ของแป้งที่ออกจากเตาใหม่ๆ มาก วันนี้หากใครที่จะทำขนม ทำเบเกอรี่ วันนี้ เราจะพามือใหม่ หรือมือเก่า ไปดู อุปกรณ์ทำขนม อุปกรณ์ทำเบเกอรี่ ที่จำเป็นต้องมี มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

มาทำความรู้จัก! 7 อุปกรณ์ เบเกอรี่ มีอะไรบ้าง?

ลำดับแรกควรต้องเตรียม อุปกรณ์เบเกอรี่ ไว้ให้พร้อม โดยเฉพาะอุปกรณ์พื้นฐานที่ควรมีไว้ติดบ้าน ซึ่งสามารถนำมาใช้ทำขนมประเภทต่างๆ ได้ การใส่ใจในเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้เราทำขนมได้สะดวก สะอาด และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการเตรียมความพร้อมเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ทำให้การทำขนมราบรื่นไปได้ด้วยดีนะคะ

ที่ร่อนแป้ง (Sifted flour)

ที่ร่อนแป้ง


อุปกรณ์นี้ใช้สำหรับ ร่อนวัตถุดิบชนิดผงอาจจับตัวเป็นก่อนให้แตกออก และช่วยให้อากาศรวมเป็นส่วนหนึ่งเข้ากับตัวแป้ง 👉 ทำให้แป้งละเอียดขึ้น ฟูนุ่มขึ้น ไม่จับตัวเป็นก้อนนั่นเอง ซึ่งแป้งที่ผ่านการร่อนแล้วจะทำให้เนื้อของขนมที่ทำออกมาขึ้นฟู เนื้อนุ่มเนียนและหน้าตาของขนมจะน่ารับประทานมากยิ่งขึ้นอีกด้วย 😜 ซึ่งที่ร่อนแป้งแบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบกระชอนที่เห็นกันทั่วไปและแบบมือบีบ โดยจะแตกต่างตรงที่หากเลือกใช้ที่ร่อนแป้งแบบมือบีบจะทำให้แป้งตกลงไปรวมกันที่ก้นภาชนะรองรับพอดีไม่หกเลอะเทอะ แต่ถ้าใช้แบบกระชอน ละอองแป้งจะกระจายออกมารอบๆ ในขณะที่ร่อน ทำให้เลอะเทอะได้ แต่ราคาแบบมือบีบก็จะราคาแพง ส่วนแบบกระชอนก็จะราคาถูกกว่ามาก ใครมีงบระดับไหนก็เลือกหาซื้อกันได้ตามสะดวกเลยนะคะ

ถ้วยตวง (Measuring cup)

ถ้วยตวง-อุปกรณ์ทำขนม


ในการทำเบเกอรี่นั้น แน่นอนว่าต้องมีการชั่งตวงวัตถุดิบในปริมาณที่เหมาะสม และตรงตามสูตร ฉะนั้นจึงขาดถ้วยตวงไปไม่ได้เด็ดขาด จัดเป็นอุปกรณ์ทำเบเกอรี่ที่สำคัญมากๆ ซึ่งสามารถหาซื้อได้จากร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ทั่วไป มีตั้งแต่ราคาถูกถึงแพง ขึ้นกับวัสดุที่ใช้ทำ โดยในถ้วยตวง 1 ชุด จะประกอบด้วยถ้วย 4 ขนาด 👉👉 คือ ขนาด 1 ถ้วยตวง ขนาด 1/2 ถ้วยตวง ขนาด 1/3 ถ้วยตวง และขนาด 1/4 ถ้วยตวง ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้สำหรับตวงของแห้ง เช่น น้ำตาล แป้ง ผงฟู หรือตวงของเหลว อย่างนม กะทิ และน้ำมันก็ได้ วัสดุที่ใช้ทำถ้วยตวงมีทั้งแบบพลาสติก อะลูมิเนียม และสแตนเลส ควรเลือกซื้อถ้วยตวงที่บริเวณก้นถ้วยเรียบเสมอกัน ด้ามจับแข็งแรง และที่สำคัญหากเลือกซื้อถ้วยชนิดพลาสติก ต้องสามารถทนความร้อนได้ดี

เครื่องผสมอาหาร (Pastry blender)

เครื่องผสมอาหาร

เมื่อเรา ตวง เตรียมวัตถุดิบมาครบก็ถึงขั้นตอนผสม เครื่องผสมจะเป็นอุปกรณ์เบเกอรี่ที่ใช้สำหรับผสมวัตถุดิบต่างๆ ให้เป็นเนื้อเดียวกัน แบ่งเป็น 3 ชนิด ได้แก่ แบบตะกร้อมือ แบบเครื่องไฟฟ้าถือมือ และแบบชุดเครื่องผสมพร้อมโถ ทั้ง 3 ชนิดนี้มีลักษณะการทำงานคล้ายกัน แต่จะต่างกันที่ขนาด และวิธีการใช้


  1. แบบตะกร้อมือ เหมาะกับมือใหม่หัดทำที่งบไม่เยอะ และยังไม่รู้ว่าจะจริงจังกับการทำเบเกอรี่แค่ไหน 👉 การตีผสมด้วยตะกร้อมือจะใช้เวลาในการตีผสมนานและเมื่อยมือซักหน่อย แต่ก็จะรู้จังหวะการตีให้ผ่อนเบาผ่อนหนักได้ตามต้องการ แถมราคาก็ถูกด้วย
  2. แบบเครื่องไฟฟ้าถือมือ สามารถเปลี่ยนหัวตีได้ 2 ชนิด คือ หัวตีรูปตะกร้อ และหัวตีรูปตะขอ ซึ่งจะช่วยตีส่วนผสมให้เข้ากันเร็วขึ้นกว่าแบบตะกร้อมือ 👉 เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากให้การทำเบเกอรี่ง่ายขึ้น ไม่ต้องเมื่อยมือ
  3. แบบชุดเครื่องผสมพร้อมโถ ประกอบด้วยหัวตี 3 แบบ ได้แก่ หัวตีรูปตะกร้อ หัวตีรูปตะขอ และหัวตีรูปใบพาย-ใบพัด พร้อมโถผสม สามารถปรับระดับการตีได้ถึง 3 ระดับ จะไล่ระดับไปตั้งแต่ เบา กลาง แรง 👉จัดเป็นอุปกรณ์เบเกอรี่สำหรับมืออาชีพหรือผู้ที่ทำเบเกอรี่เป็นประจำ ราคาจะสูงกว่า 2 แบบแรกแต่ก็สะดวกและรวดเร็วกว่ามากด้วย

ไม้พาย (Spatula)

ไม้พายเปรียบเสมือนอุปกรณ์หลักที่ขาดไม่ได้ในการทำเบเกอรี่ 👉 ใช้สำหรับคน หรือปาดเพื่อให้วัตถุดิบต่างๆ รวมเป็นเนื้อเดียวกัน มีให้ใช้ทั้งแบบยางซิลิโคน และแบบพลาสติกธรรมดา ซึ่งไม้พายแบบยางซิลิโคนจะมีราคาสูงกว่าแบบพลาสติกเพราะคุณภาพของวัสดุที่ดีกว่า ยืดหยุ่นสูง ทนความร้อนและสามารถปาดแป้งออกจากจานผสมได้ดีกว่าแบบพลาสติกนั่นเอง แถมทนความร้อนด้วย เพราะฉะนั้นเลือกได้ตามความเหมาะสมและงบที่เรามีได้เลยนะคะ


อุปกรณ์เบเกอรี่ แม่พิมพ์ (Silicone mold)

หลังจากผสมทุกอย่างแล้วเราจะได้แป้งออกมาในรูปแบบของเหลวหรือแป้งโด ซึ่งก่อนเข้าอบเราต้องมี อุปกรณ์เบเกอรี่ ที่ช่วยให้ขนมของเราเกิดเป็นรูปทรงตามต้องการขณะอบ สิ่งนั้นก็คือ แม่พิมพ์นั่นเอง โดยแม่พิมพ์ขนมจะมีหลายรูปทรงมาก มีทั้งพิมพ์เค้ก พิมพ์คัพเค้ก พิมพ์เค้กโรล ฯลฯ ขึ้นอยู่กับว่าต้องการทำขนมชนิดใด สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มหัดทำเค้กหรือเบเกอรี่ แนะนำให้เริ่มจากแม่พิมพ์เค้กกลมขนาด 2 ปอนด์ เพราะหากใช้ขนาดใหญ่กว่านี้แล้วเค้กเกิดไม่เซ็ตตัว หรือสุกตามที่ต้องการ อาจทำให้เปลืองวัตถุดิบ และเสียเวลา 👉 สำหรับมือใหม่แนะนำให้ใช้พิมพ์แบบล็อก ซึ่งจะมีตัวล็อกอยู่ด้านข้าง เพราะสามารถนำเค้กออกจากพิมพ์ง่าย เค้กจะออกมาอย่างสวยงามไม่เสียทรง เมื่อฝึกจนชำนาญค่อยเปลี่ยนมาเป็นพิมพ์แบบเปิดก้นซึ่งราคาถูกกว่า

อุปกรณ์เบเกอรี่ เตาอบ (Oven)

เตาอบขนม

เตาอบไฟฟ้า ถือเป็นอุปกรณ์ทำเบเกอรี่ที่จำเป็นมากค่ะ เพียงแค่เรามีเตาอบเพียงเครื่องเดียวก็สามารถทำขนมได้หลากหลายเมนูแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังเป็นมือใหม่อาจเกิดความสับสน เวลาไปเลือกซื้อ อุปกรณ์เบเกอรี่ ตัวนี้ เพราะเตาอบนั้นมีหลายแบบ หลายขนาด มีทั้งระบบแก๊ส และระบบไฟฟ้า 👉 ใครเป็นมือใหม่หัดทำเบเกอรี่ ขอแนะนำให้เริ่มจากใช้ เตาอบไฟฟ้า ขนาดเล็ก ราคาปานกลางไม่ถูกและไม่แพงจนเกินไป เลือกแบบมีไฟบน-ล่างและพัดลมช่วยกระจายความร้อนในการอบให้ทั่วถึง จะคุ้มค่าในการลงทุนซื้อมากกว่าแบบราคาถูกแต่ไม่มีฟังก์ชั่นอะไรเลยนะคะ ยังไงลองเลือกตามความเหมาะสมและงบราคาที่มีได้เลย ดูสเปคเตาอบไฟฟ้าเพิ่มเติมได้ที่  


อุปกรณ์เบเกอรี่ ตะแกรง (Grille)

มาถึง อุปกรณ์เบเกอรี่ ชิ้นสุดท้าย หากเบเกอรี่ที่ทำคือ คุกกี้ หรือขนมที่ต้องพักวัตถุดิบเพื่อให้เกิดการเซ็ตตัว และคลายความร้อนหลังออกจากเตาอบ 👉 อุปกรณ์เบเกอรี่ที่ขาดไม่ได้ก็คือ ตะแกรง นั่นเอง โดยควรเลือกตะแกรงที่มีตาไม่ห่างกันมาก หรือเลือกตาแบบตารางจะดีกว่าแบบตาข่าย เพราะช่วยให้อากาศเข้าถึงขนมได้ดีกว่า จึงเซ็ตตัวได้เร็วกว่า แต่ถ้ายังไม่อยากซื้อใหม่ ให้ใช้ตะแกรงที่แถมมากับเตาอบไปก่อนก็ได้นะคะ 

เป็นอย่างไรบ้างคะทุกคน จะเห็นได้ว่า อุปกรณ์เบเกอรี่ สำหรับมือใหม่มีให้เลือกมากมายหลายแบบ สามารถปรับใช้ได้ตามความต้องการ แม้ขั้นตอนการเตรียมอุปกรณ์จะดูยุ่งยากเพราะต้องเตรียมหลายอย่าง แต่เมื่อมีความชำนาญแล้วก็จะรู้ว่าการทำเบเกอรีเมนูต่างๆ ควรเลือกใช้อุปกรณ์ไหนจึงจะเหมาะสมที่สุด 


ที่มา: https://www.sgethai.com/article/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1-%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A1-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B8%99/

รู้จักกับ สแลนกันแดด มีข้อดีอย่างไร

สแลนคือตาข่ายกรองแสงที่เพื่อนๆ เกษตรกรเราคุ้นตากันดี มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Shading Net ครับ ก็คือใช้เพื่อเป็นร่มเงาให้พืชพันธุ์เราครับ ไม่ว่าแปลงเกษตรที่ในโลกก็ต้องมีใช้ทดแทนเงาจากร่มไม้ใหญ่ โดยการประดิษฐ์คิดค้นสแลนขึ้นมานั้น เขามีวัตถุประสงค์เพื่อเอาไว้ลดความเข้มข้นหรือความแรงของแสงแดดลง ลดความร้อนที่จะส่งผลกระทบต่อต้นไม้ ทำให้ดินสามารถรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้ดีขึ้นต้นไม้ของเราจึงเติบโตได้เต็มที่


สแลนบังแดด คือผืนตาข่ายที่ผลิตด้วยพลาสติกโพลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง หรือที่เรียกว่า High Density Polyethylene เป็นพลาสติกที่มีความขุ่น ทำให้แสงมีโอกาสผ่านได้น้อย ทนต่อความร้อนสูงสุดได้ถึง 100 องศาเซลเซียสและยังทนต่อความเย็นได้สูง ซึมซับและรักษาความชื้นได้ดี ทนต่อสภาพความเป็นกรดและด่าง ทำให้ใช้งานได้นาน

สแลน มีกี่ประเภท?


แบ่งประเภทตามกรรมวิธีการผลิต ได้ 2 ประเภท คือ

  • สแลนแบบถัก

ชนิดนี้ทำจากโพลิเอทิลีนน้ำหนักเบา จึงเหมาะกับเกษตรกรรม การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ กสิกรรมทุกประเภท

  • สแลนแบบทอ
ตาข่ายชนิดนี้มีน้ำหนักมากกว่า ทิ้งตัวดี มีความยืดหยุ่นและทนทานสูง จึงนิยมใช้ในการเลี้ยงสัตว์และทำสิ่งปลูกสร้างที่ต้องการความแน่นหนามั่นคง


ทำไมเกษตรกรและคนปลูกต้นไม้ควรใช้ สแลน?


สแลนช่วยเพิ่มผลผลิตแต่ลดอายุการเก็บเกี่ยวให้สั้นลง
พืชแต่ละชนิดนั้นต้องการปริมาณและความเข้มข้นของแสงในการเจริญเติบโตแตกต่างกัน บางชนิดต้องโดนแดดมากจึงจะออกดอกออกผล เช่น โกสน โป๊ยเซียน มะเขือ พริก เป็นต้น


ในขณะที่บางชนิดต้องการแสงแดดที่กำลังพอดี เช่น คะน้า กวางตุ้ง และบางชนิดต้องแดดรำไร ความเข้มข้นต่ำเท่านั้น จึงจะงอกงามดี เช่น ผักชี ต้นหอม ขิง ข่า กล้วยไม้ ฯลฯ


สแลน ช่วยลดต้นทุนการใช้น้ำและปุ๋ย
การปลูกพืชบางชนิด โดยเฉพาะพืชจากต่างประเทศที่นำมาเพาะในประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อน ทำให้เกษตรกร ผู้เพาะปลูกต้องสิ้นเปลืองต้นทุนไปกับการให้น้ำและให้ปุ๋ยเพื่อบำรุงเร่งการเจริญเติบโต และการใช้ปุ๋ยมากเกินไปจะส่งผลเสียตามมา แม้ว่าปุ๋ยที่ใช้จะเป็นปุ๋ยจากธรรมชาติหรือปุ๋ยคอก ก็ตาม ผลกระทบที่ตามมา คือ ทำให้ดินมีสภาพความเป็นกรดหรือด่างสูงมากเกินไป หรือทำให้พืชเสี่ยงต่อการเป็นโรค เพราะโรคระบาดบางชนิดก็มากับปุ๋ย โดยเฉพาะปุ๋ยมูลสัตว์


👍 หากเกษตรกรหันมาใช้สแลนและเลือกแบบที่เหมาะสมกับชนิดของพืชที่ปลูก จะทำให้เกษตรกรสามารถปรับและควบคุมสภาพแวดล้อมได้ด้วยเช่นกัน คือ

  • ควบคุมอุณหภูมิ ความร้อน
  • ควบคุมอากาศที่ถ่ายเท
  • ควบคุมความชื้น
  • ควบคุมปริมาณน้ำฝน
  • ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พืชเติบโต ได้ผลผลิตงอกงามดี โดยไม่ต้องรดน้ำบ่อย ไม่ต้องใส่ปุ๋ยมาก จึงถือเป็นการช่วยเกษตรกรลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลกำไรได้อีกทางด้วย

สแลนแต่ละสี แตกต่างกันอย่างไร?


สีของสแลนกันแดดนั้น มีให้เลือกทั้งสีดำ และ สีเขียว ทั้ง 2 สีนั้นมีความแตกต่างกันในเรื่องของสีกับแสงที่ให้ความรู้สึก คือ สีดำจะไปตัดทอนค่าความยาวของคลื่นแสง แสงที่ลอดผ่านสแลนสีดำนั้นจะเป็นแสงสีขาวแบบที่เราเห็นทั่วไป แต่สแลนสีอื่นจะสะท้อนค่าความยาวของคลื่นแสงที่เป็นสีเดียวกับสีของสแลนนั้นดังนั้น ความแตกต่างของสีสแลนนั้น ยังไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่ขึ้นอยู่กับผู้เลือกใช้มากกว่า


ซึ่งพืชต้องการแสงสีน้ำเงินและสีแดงเป็นหลัก ซึ่งรวมอยู่ในแสงสีขาวอยู่แล้ว ถ้าแสงสีเหล่านี้ถูกตัดทอนออกไปจะมีผลต่อการสังเคราะห์แสงจนถึงการเจริญเติบโตของพืช จึงทำให้คนส่วนใหญ่เลือกใช้สแลนสีเขียวมากกว่าสแลนสีดำ เพราะสแลนสีดำเก็บความร้อนได้ดีกว่าสีเขียว แต่ส่งผลระยะยาวคือ สแลนสีดำจะผุพัง เสื่อมสภาพเร็วกว่าสแลนสีเขียวนั่นเอง


สำหรับเกษตรกรที่กำลังมองหาสแลนไว้ใช้สำหรับบังแสงให้แปลงเพาะปลูก อาจต้องคำนึงถึงเรื่องช่วงวัยของพืชตามไปด้วย เช่น ช่วงเพาะและอนุบาลต้นกล้า จำเป็นต้องลดแสงแดดสูง จึงควรใช้สแลน 80% เพราะต้นไม้จะได้เติบโตได้ดี เมื่อต้นกล้าแข็งแรงดีแล้ว เราควรเปลี่ยนมาใช้สแลน 50% เพื่อเพิ่มปริมาณแสงแดดมากขึ้น เว้นแต่การเลี้ยงพืชที่ต้องการแสงรำไรในทุกช่วงวัย เช่น กล้วยไม้ เราควรใช้สแลน 80% ตลอดช่วงอายุ

แจกสูตรไอศครีม กะทิสด เคียงคู่คนไทยมาช้านาน


อากาศร้อนๆ แบบนี้ แอดมิน มีเมนู ไอติมกะทิ สดมาฝากเพื่อนๆกันค่ะ ให้คลายร้อน สูตรไอติมกะทิสดนี้เป็นของ พันทิปดอทคอม เป็นสูตรไอติมกะทิที่ทำได้ง่ายมากๆ และอร่อยด้วย ใช้ส่วนผสมไม่กี่อย่างเท่านั้น ไปดูส่วนผสมและวิธีการทำกันได้เลยค่ะ


ไอติมกะทิสด


ส่วนผสม  
เนื้อมะพร้าวขูด 1 กก.
เนื้อมะพร้าวอ่อน 3 ลูก
ใบเตย 1 กำ
น้ำมะพร้าวเผา 3 ลูก
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำตาลมะพร้าว 150 กรัม
น้ำตาลทรายป่น (caster sugar บางยี่ห้อใช้คำว่า “น้ำตาลเบเกอรี”) 50 กรัม
แบะแซ 30 กรัม
วิปปิ้งครีม 300 กรัม
นมครบส่วน (full fat milk) 100 กรัม


ขั้นตอนการทำ

  1. ต้มน้ำมะพร้าวเผากับใบเตยบางส่วน เมื่อเริ่มเดือด ใส่เนื้อมะพร้าวขูดลงไป จากนั้น นำมาคั้นเป็นหัวกะทิ ผสมวิปปิ้งครีมกับนมสดกับกะทิที่ได้ แล้วอุ่นด้วยไฟอ่อน ๆ
  2. ใส่ใบเตยที่เหลือลงไป คอยคนส่วนผสม จากนั้น เติมน้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลป่น แบะแซ และเกลือลงไป
  3. ใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนลงไปเป็นอย่างสุดท้าย แล้วนำไปปั่นในเครื่องทำไอศกรีม

ท็อปปิ้ง
มีไอศกรีมแล้วจะขาดท็อปปิ้งไปไม่ได้ ไอศกรีมกะทิทั่วไปจะโรยถั่วลิสงคั่ว แต่ถ้าน้ำหนักไม่ใช่ประเด็น เราขอแนะนำให้เสริมความอร่อยด้วยข้าวเหนียว เม็ดบัว มันเชื่อม หรือเผือกชิ้น อร่อยจนลืมไปเลยว่าความอ้วนคืออะไร

ไอศกรีมกะทิ สูตรเพื่อสุขภาพ

สำหรับใครที่ควบคุมอาหาร หรือกำลังลดน้ำหนัก แต่ไม่สามารถอดทนต้อความเย้ายวนความหวานมันของไอศครีมกะทิได้ เรามีสูตรเพื่อสุขภาพไม่ใช้แป้งหรือน้ำตาลมาให้ลองทำกันดู


วัตถุดิบ
กะทิ 300 มล. , นมจืด 1/3 ถ้วยตวง น้ำตาลอิริทริทอล 1/3 ถ้วยตวง , เกลือป่น 1/8 ช้อนชา , กลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา , เครื่องเคียง ธัญพืชต่างๆ


วิธีทำ
1.เทส่วนผสมทุกอย่างลงในชามผสม คนให้เข้ากัน
2.เคี่ยวบนไฟกลาง จนเดือด
3.เทใส่ภาชนะที่มีฝาปิด เกลี่ยเท่าๆ ให้เสมอกัน นำเข้าแช่แข็งอีกประมาณ 3-4 ชม. หรือจนกว่าเนื้อไอศครีมแข็งพอที่จะสกู๊ปได้
4.นำไอติมออกมา รอให้เริ่มละลาย แล้วปั่นในเครื่องปั่นจนเป็นเนื้อเนียน
5. เทใส่ภาชนะที่มีฝาปิด เกลี่ยเท่าๆ ให้เสมอกัน นำไปแช่แข็งทิ้งไว้ 1 คืน
6. เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงธัญพืช เช่น แป๊ะก๊วย ถั่วอัลมอนด์ หรือผลไม้ตามชอบ


หากเป็นธุรกิจที่ต้องส่ง ไอศกรีมกะทิ แนะนำให้ใช้คู่กับ ถุงเก็บความเย็น SGE ที่เลือกใช้ วัสดุอลูมิเนียมฟอยล์อย่างดี หนาถึง 4 มิลลิเมตรช่วยคงความสดใหม่ได้ยาวนานขึ้น มีราคาเริ่มเพียง 55 บาท เก็บความเย็นได้ยาวนานกว่า 10 ชั่วโมง เห็นว่ามีโปรโมชั่นซื้อ  1 แถม 1 ด้วยนะ ไปลองดูกัน

ไอศกรีมกะทิสูตรโบราณ


ส่วนผสม


1. กะทิกล่อง หรือกะทิกระป๋องสูตรเข้มข้น ขนาด 560 มิลลิลิตร
2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
3. เกลือ ¾ ช้อนชา
4. ไข่ไก่ 1 ฟอง
5. เนื้อมะพร้าวอ่อนขูดเป็นเส้น (มีหรือไม่มีก็ได้)


วิธีทำ


1. เทกะทิทั้งหมด ผสมกับน้ำเปล่า 2 ถ้วย หรือถ้ามีน้ำมะพร้าว ก็ให้ใช้น้ำมะพร้าว กับน้ำเปล่าอย่างละ 1 ถ้วย เพื่อเพิ่มความหอมหวานของกะทิมากขึ้น
2. นำกะทิไปตั้งไฟ แล้วค่อย ๆ เทน้ำตาลทรายผสมลงไป จากนั้นคนให้เข้ากันจนกะทิเดือด
3. นำกะทิมาพักให้เย็น จากนั้นเทใส่ภาชนะที่เหมาะกับการแช่เย็น
4. นำภาชนะดังกล่าวไปแช่ในช่องแข็ง จนกะทิเริ่มแข็งตัว
5. ในการแช่กะทิ ให้สังเกตุว่ากะทิเริ่มเป็นเกล็ดหรือยัง หากเริ่มเย็นจนเป็นเกล็ดแล้ว สามารถนำออกจากตู้เย็น โดยไม่ต้องรอให้กลายเป็นน้ำแข็ง ซึ่งขั้นตอนนี้อาจใช้เวลานานพอสมควร
6.นำกะทิดังกล่าวมาปั่น หากไม่มีเครื่องปั่นสำหรับทำไอศกรีม สามารถใช้เครื่องปั่นน้ำผลไม้ธรรมดาแทนได้ค่ะ

  • ปั่นครั้งที่ 1

นำกะทิใส่เครื่องปั่น และปั่นจนกว่าเนื้อไอศครีมจะละเอียด จากนั้นนำไปแช่ในช่องแข็งอีกรอบ

  • ปั่นครั้งที่ 2

เมื่อเนื้อไอครีมที่ปั่นรอบแรกเริ่มเป็นน้ำแข็ง ก็ให้นำออกมาปั่นใหม่อีกครั้ง โดยคราวนี้ให้ใส่ไข่ขาวลงไป 1 ฟอง เมื่อเครื่องปั่นตีกะทิกับไข่ขาวจนเข้ากันแล้ว จะเห็นว่าเนื้อไอศครีมขาว และฟูขึ้น จากนั้นจึงนำไปแช่ในช่องแข็งอีกรอบ

  • ปั่นครั้งที่ 3

นำไอศกรีมที่แช่จนเป็นเกร็ดแล้วมาปั่นอีกรอบ เพื่อให้เนื้อไอศกรีมเนียนฟูมากยิ่งขึ้น หากใครชอบทานไอศกรีมกะทิ แบบมีเนื้อมะพร้าวด้วย ให้นำเนื้อมะพร้าวอ่อนที่เราขูดไว้ มาผสมกับไอศกรีมกะทิที่ปั่นในรอบที่สาม แต่ในครั้งนี้ควรปั่นเพียงเล็กน้อยพอให้เนื้อมะพร้าวเข้ากันค่ะ หรือจะปั่นรอบที่สามให้เสร็จก่อน แล้วค่อยใส่เนื้อมะพร้าวแล้วปั่นอีกนิดก็ได้ค่ะ


เพียงแค่นี้ เราก็จะได้ไอศกรีมกะทิแสนอร่อย เอาไว้ทานเพื่อคลายร้อนกันแล้วล่ะ...อ้อ เคล็ดลับความอร่อยของไอศกรีมกะทิจะอยู่ที่การปั่นเนื้อไอศกรีมให้ละเอียด ยิ่งปั่นหลายรอบ เนื้อไอศกรีมก็จะยิ่งเนียนฟูมากขึ้น แต่วิธีที่เรานำมาฝากนี้จะเป็นแบบเร่งรัดจ้า