springgreenのブログ

タイ料理のレシピ รวมสูตรอาหารไทย

เราจะมีวิธีเลือก เครื่องซีลสูญญากาศ อย่างไร ให้คุ้มค่าสูงสุด

รู้จักกับ เครื่องซีลสูญญากาศ กันก่อน?

อย่างที่รู้ว่าเครื่องซีลแต่ละรุ่น มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ช่วยในการถนอมอาหาร ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาอาหารให้นานมากขึ้น ป้องกันการสูญเสียความชื้นในอาหาร จากการแช่แข็ง ป้องกันการเกิดกลิ่นเหม็น จากอากาศที่เข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมัน รวมถึงคงสภาพความสดใหม่ ทั้ง สี คุณภาพ รสชาติ และประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บอาหาร และเป็นระเบียบในตู้เย็น ควบคุมกลิ่นรบกวนจากสินค้าที่มีกลิ่นแรง เช่น ทุเรียน ป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นอับ โดย สูญญากาศ จะทำให้กลิ่นไม่รอดออกมา และสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ สามารถจัดรูปทรงได้ง่ายขึ้น

“เครื่องซีล” มีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

ปัจจุบันนี้ Vacuum Sealer นวัตกรรมการถนอมอาหาร กำลังเป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับได้ผลเป็นที่น่าพึงพอใจ หนีไม่พ้น การซีลสุญญากาศ ด้วย เครื่องซีลสูญญากาศ


โดยปกติแล้ว การถนอมอาหาร (food preservation) วัตถุดิบที่ใช้เพื่อการแปรรูปอาหาร เป็นวัตถุดิบทางการเกษตร เช่น ผักเนื้อสัตว์ นม ซึ่งวัตถุดิบเหล่านี้เสื่อมเสียได้ง่าย การถนอมอาหารมีวัตถุประสงค์ เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาอาหารถนอมรักษาคุณภาพอาหารด้านต่างๆ ของอาหารให้ใกล้เคียงของสด ชะลอ และป้องกันการเสื่อมเสีย


สำหรับการนำผลิตภัณฑ์อาหารมาบรรจุสุญญากาศ จะช่วยยืดอายุอาหาร ได้นานขึ้นประมาณ 3-5 เท่า (แล้วแต่ชนิดของอาหาร) ด้วยการป้องกันไม่ให้อาหารสัมผัสกับอากาศ หรือออกซิเจน จะช่วยยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรีย ยังช่วยรักษาคุณภาพและรสชาติของอาหาร ให้ยังคงความสดใหม่อยู่เสมอ มีประโยชน์มากมายขนาดนี้บอกเลยว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นคนชอบทำอาหาร หรือทำธุรกิจอาหารแล้วละก็ พลาดไม่ได้แล้ว ! วันนี้เราจะมี เคล็ด (ไม่) ลับวิชาเซียน ในการเลือกซื้อเครื่องซีลสูญญากาศ อย่างไรให้เหมาะสมมาบอกต่อกันครับ


วิธีเลือกซื้อเครื่องซีลสุญญากาศ


คุณสมบัติที่สำคัญที่สุด ที่คุณควรมองหาเมื่อเลือก เครื่องซีลสุญญากาศ


1. ประสิทธิภาพของพลังดูดสุญญากาศ

เครื่องซีลสุญญากาศทั้งหมดทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่ในแต่ละเครื่องจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันเพื่อความรวดเร็วและความสะดวกสบาย แน่นอนว่าเครื่องซีลขนาดใหญ่มักจะให้ความสะดวกสบายได้ดีแต่ก็มาพร้อมราคาที่สูง ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะใช้หน่วยพลังดูดสุญญากาศเป็น inHg ( นิ้วปรอท) หรือ mmHg (มิลลิเมตรปรอท) เพื่อระบุความแรงในการดูดอากาศของเครื่อง สำหรับค่าที่เหมาะสมนั้นเราแนะนำที่ค่าระหว่าง 13 – 25 inHg หรือ 330 – 635 mmHg ที่สามารถนำมาใช้งานได้อย่างเพียงพอต่อความต้องสำหรับครัวเรือนแล้ว (บางที่ก็จะใช้หน่วยเป็น kPa (กิโลปาสคาล) ซึ่งสามารถแปลงเป็น mmHg ได้ค่าระหว่าง 43.99 – 84.65 kPa)


2. ฟังก์ชันการทำงานที่หลากหลาย

ฟังก์ชันเป็นเรื่องสำคัญไม่ว่าจะเป็นปุ่มแบบแมนนวล หรือปุ่มสัมผัส เป็นหนึ่งในการควบคุมที่สำคัญที่สุดที่เครื่องซีลสุญญากาศ เครื่องซีลที่ดีควรมีฟังก์ชันการดูดสุญญากาศอย่างช้า ๆ สำหรับอาหารบางประเภทที่มีความบอบบาง เช่น เค้ก เบอร์รี่หรือแคร็กเกอร์เพื่อให้คุณสามารถหยุดเครื่องได้ หากมีข้อผิดพลาดไม่คาดคิดก่อนที่อาหารของจะถูกบด เราขอแนะนำให้เลือกรุ่นที่มีปุ่มกดยกเลิกที่จะสามารถช่วยคุณได้เมื่อเกิดเหตุการณ์จำเป็น อีกทั้งบางรุ่นก็สามารถควบคุมแรงดันสุญญากาศได้ด้วย


3. เสียงรบกวน

โดยทั่วไปแล้วเครื่องซีลสุญญากาศ External จะมีเสียงที่ดังกว่าเครื่องซีลสุญญากาศแบบ Chamber ซึ่งค่าเฉลี่ยที่วัดได้ของเครื่องซีลสุญญากาศ External อยู่ที่ 70 – 83 เดซิเบล (dBA) ซึ่งถือว่ามีความดังใกล้เคียงกับเครื่องดูดฝุ่น ดังนั้นควรเลือกเครื่องซีลที่ไม่มีเสียงรบกวนหรือมีระบบป้องกันเสียงรบกวนได้นะคะ เพื่อที่จะไม่ได้รบกวนคุณเมื่อคุณทำงานอย่างอื่นค่ะ


เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ในวันนี้ เราหวังว่าคุณจะได้ประโยชน์และใช้นำไปเลือกสินค้าที่คุณอยากซื้อได้และอย่าลืมคำนึงในเรื่องของบประมาณและจุดประสงค์ในการใช้ทุกครั้ง หากใช้งานจำนวนมากควรเลือกเครื่องซีลขนาดใหญ่ หากใช้งานน้อยก็เลือกเครื่องเล็กค่ะ ถึงเวลาไปเลือกสินค้ากันแล้วค่ะทุกคน ไปกันเลย


4. ขนาดแถบซีลที่เหมาะสม

ตามหลักการแล้วเครื่องซีลสุญญากาศที่ดีควรจะรองรับความกว้างของถุงได้หลากหลาย สำหรับใช้ครัวเรือนส่วนใหญ่การซื้อเครื่องที่มีแถบซีลขนาด 11 – 12 นิ้ว ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว อีกทั้งยังควรเครื่องซีลสุญญากาศที่มีช่องเฉพาะสำหรับการจัดเก็บม้วนถุงและเครื่องตัดถุงสำหรับปรับแต่งขนาดถุง ใบมีดในตัวเครื่องก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะมันจะช่วยให้คุณปรับขนาดถุงได้เร็วกว่าการใช้กรรไกร อีกเรื่องหนึ่งก็คือขนาดของตัวเครื่องก็มีสำคัญขนาดและน้ำหนักส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับที่ว่างในห้องครัวของคุณค่ะ อีกทั้งหากเครื่องซีลมีน้ำหนักเบาและขนาดเล็กจะง่ายต่อการจัดเก็บ


สามารถดูข้อมูล เครื่องซีลสูญญากาศ ได้ที่ https://www.catdumb.com/lifestyle/13018

มารู้จัก ข้าวหมาก พร้อมสูตรทำตามได้ทันที


แป้งข้าวหมาก เป็นวัตถุดิบอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์มาก ๆ โดยเฉพาะการทำ ข้าวหมาก ขนมไทยพื้นบ้าน ที่มีรสชาติหวานอร่อย กินแล้วเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย หากใครไม่เคยรู้มาก่อนว่า

แป้งข้าวหมาก หรือ ลูกแป้งข้าวหมาก คือ กล้าเชื้อจุลินทรีย์ผสมธรรมชาติ สำหรับใช้หมักข้าวเหนียวทำข้าวหมาก แป้งข้าวหมากได้จากการผสมแป้งข้าวเจ้ากับลูกแป้งเดิมเพื่อเป็นการต่อเชื้อ และมีส่วนผสมของเครื่องเทศสมุนไพรไทย เมื่อผสมส่วนประกอบเข้าด้วยกัน ปั้นแป้งเป็นก้อนกลมและหมักบ่มไว้ ในอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม จะเกิดเชื้อราสีขาวขึ้นเติมก้อนแป้ง เมื่อเชื้อเติบโตเต็มที่แล้ว 


จึงนำไปตากแดดให้แห้ง ลูกแป้งที่ได้จะมีลักษณะสีขาวนวล ก้อนแป้งฟูขึ้นเล็กน้อย ภายในเป็นโพรงมีเส้นใยราสีขาวขึ้นทั่วไป และมีน้ำหนักเบา เมื่อตากแป้งแห้งสนิทแล้วก็สามารถเก็บกล้าเชื้อนี้ไว้ใช้ทำข้าวหมากได้


เครื่องเทศส่วนผสมในแป้งข้าวหมาก ทำหน้าที่ในการควบคุมเชื้อจุลินทรีย์ชนิดที่ไม่ต้องการ ทำให้ในลูกแป้งมีเฉพาะเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ สามารถให้หมักข้าวเหนียว ให้มีรสหวาน รับประทานได้


แป้งข้าวหมากมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุดิบและกรรมวิธีการของผู้ผลิตแต่ละแหล่ง ส่งผลให้แป้งข้าวหมากมีส่วนประกอบของเชื้อจุลินทรีย์ เชื้อรา ยีสต์ แบคทีเรีย แตกต่างกัน ทำให้ข้าวหมากที่ผลิตได้จากลูกแป้งในแต่ละแหล่งมีลักษณะ กลิ่น รสชาติ ปริมาณน้ำต้อย ที่แตกต่างกันจากผลของเชื้อจุลินทรีย์เหล่านั้น ดังนั้น แป้งข้าวหมากจึงมีความสำคัญต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ข้าวหมากมาก


นอกจากจะนำแป้งข้าวหมากมาทำเป็นข้าวหมากแล้วยังพบการนำมาใช้เป็นส่วนผสมของขนมอื่น ๆ เช่น ขนมตาล ขนมถ้วยฟู ซาลาเปา ขนมปัง รวมทั้งในทางการเกษตรเช่นการทำปุ๋ย ฮอร์โมนไข่ เพื่อเพิ่มฮอร์โมนพืชทำให้พืชให้ดอกให้ผล เนื่องจากกระบวนการหมักทำให้เกิดจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ อีกด้วย


แป้งข้าวหมาก คือ


แป้งข้าวหมาก คือ หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำเป็นรูปของเม็ดแป้งครึ่งวงกลม มีขนาดประมาณ 3 – 4 เซนติเมตร เนื้อแป้งมีสีขาวนวล ในเนื้อแป้งประกอบไปด้วยจุลินทรีย์หรือยีสต์ ที่มีคุณสมบัติเปลี่ยนให้แป้ง เป็นแอลกอฮอล์อยู่จำนวนมาก ภายในมีรูพรุนและมีน้ำหนักเบา สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ทั้งการนำไปหมักกับข้าวเหนียว เพื่อให้เกิดน้ำตาลและแอลกอฮอล์อ่อนๆ จนกลายเป็นของหวานอย่าง ข้าวหมาก หรือจะนำไปเป็นเชื้อให้น้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้ทางการเกษตรก็ได้


แป้งข้าวหมาก คือ หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำเป็นรูปของเม็ดแป้งครึ่งวงกลม มีขนาดประมาณ 3 – 4 เซนติเมตร เนื้อแป้งมีสีขาวนวล ในเนื้อแป้งประกอบไปด้วยจุลินทรีย์หรือยีสต์ ที่มีคุณสมบัติเปลี่ยนให้แป้ง เป็นแอลกอฮอล์อยู่จำนวนมาก ภายในมีรูพรุนและมีน้ำหนักเบา สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ทั้งการนำไปหมักกับข้าวเหนียว เพื่อให้เกิดน้ำตาลและแอลกอฮอล์อ่อนๆ จนกลายเป็นของหวานอย่าง ข้าวหมาก หรือจะนำไปเป็นเชื้อให้น้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้ทางการเกษตรก็ได้


แป้งข้าวหมาก:ทำจากอะไร?

แป้งข้าวหมาก หลัก ๆ เลย มีส่วนผสมจาก แป้งข้าวเจ้าผสมกับเชื้อยีสต์ โดยบางท้องถิ่น อาจมีการเติมสมุนไพรบดลงไปด้วย เช่น ขิง ข่า พริกไทย ชะเอม กระวาน กระเทียม หรือ ดีปลี ซึ่งสูตรการเติมสมุนไพรนั้นจะไม่ตายตัว ขึ้นอยู่กับสูตรของแต่ละบ้านที่สืบทอดต่อกันมา


แป้งข้าวหมาก:ทำเมนูอะไรได้บ้าง?
แป้งข้าวหมาก นิยมใช้ทำเป็น ข้าวหมาก มากที่สุก เพราะจะเปลี่ยนให้ข้าวเหนียวมีรสนุ่ม อร่อย หอมหวาน นอกจากนี้ อาจนำไปใช้แทนยีสต์ เพื่อทำขนม เช่น ขนมตาล ขนมถ้วยฟู ซาลาเปา หรือ ขนมปัง ด้วย แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้รับความนิยม


ประโยชน์อื่น ๆ ของ แป้งข้าวหมาก
นอกจากใช้ทำข้าวหมากและขนมอื่น ๆ ยังสามารถนำแป้งข้าวหมากไปเป็นหัวเชื้อ ใช้ทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้ทางการเกษตรได้อีกด้วย

สูตร ข้าวหมาก แสนอร่อย
ข้าวหมาก เป็นขนมไทยพื้นบ้าน ที่ทำจากการนำข้าวเหนียวมาผสมกับแป้งข้าวหมาก แล้วหมักทิ้งไว้ จนมีรสชาติอร่อย หอมหวาน นิยมกินหลังอาหาร หรือ กินเป็นอาหารว่างเพื่อเพิ่มความสดชื่น กินแล้วช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย จึงเป็นของหวานอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยม ดังนั้น หากใครอยากทำข้าวหมากทานเองที่บ้าน เรามีมาฝาก 3 สูตรด้วยกัน ดังนี้
ข้าวหมากขาว

ส่วนผสม


ข้าวเหนียว 1,000 กรัม
แป้งข้าวหมาก 1/2 ก้อน
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
 
วิธีทำ

  1. นำข้าวเหนียวมาล้างน้ำให้สะอาด หลาย ๆ รอบ จนกว่าน้ำซาวข้าว จะขาวใส เสร็จแล้ว แช่ทิ้งไว้ 1 คืน
  2. กรองน้ำซาวข้าวออกให้หมด แล้วนึ่งข้าวเหนียวให้สุก ใช้หวดหรือซึ้งนึ่งก็ได้แล้วแต่สะดวก
  3. พอข้าวเหนียวสุกดีแล้ว ให้นำมาใส่ชามผสม ใส่น้ำดื่มสะอาดลงไปให้พอท่วม ใช้ทัพพีคนข้าวเหนียว ให้ยางข้าวเหนียวละลายน้ำออกให้หมด เสร็จแล้ว เทออก แล้วเติมน้ำลงไปใหม่ ล้างออกหลาย ๆ รอบ จนกว่ายางข้าวเหนียวจะถูกล้างออกจนหมด พอล้างยางข้าวเหนียว จนน้ำใสแล้ว ให้กรองน้ำออก พักให้สะเด็ดน้ำ
  4. นำแป้งข้าวหมากมาบดให้ละเอียด เสร็จแล้ว นำข้าวเหนียวมาใส่ชามผสม แล้วโรยแป้งข้าวหมากให้ทั่ว คลุกเคล้าให้เข้ากันทั้งหมด
  5. ใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ คลุกเคล้าให้ทั่ว พอผสมเข้ากันดีแล้ว ให้เตรียมใบตองรองด้วยถุงร้อนไว้ แล้วตักข้าวเหนียวใส่ลงไป ห่อให้เรียบร้อย หรือ ใครจะใส่ข้าวหมาก ในถ้วยพลาสติกปิดฝาให้แน่นหนาแทนก็ได้ ทิ้งไว้อย่างน้อย 48 ชั่วโมง เป็นอันรับประทานได้ ถ้าไม่ทานในทันที หรือ ทำขายแนะนำให้เก็บในตู้เย็น แช่เย็นทิ้งไว้ เพื่อไม่ให้เน่าเสีย


ข้าวหมากข้าวเหนียวดำ


ส่วนผสม


  • ข้าวเหนียวดำ 2000 กรัม
  • ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 2000 กรัม
  • แป้งข้าวหมาก 4 เม็ด
  • น้ำสะอาด 10000 กรัม


วิธีทำ

  1. นำข้าวเหนียวดำมาล้างน้ำให้สะอาด หลาย ๆ รอบ จนกว่าน้ำซาวข้าว จะขาวใส เสร็จแล้ว แช่น้ำสะอาด 3 ชั่วโมง
  2. นำข้าวเหนียวขาวมาล้างน้ำให้สะอาด หลาย ๆ รอบ จนกว่าน้ำซาวข้าว จะขาวใส พอสะอาดดีแล้ว ให้ใส่รวมกับข้าวเหนียวดำ แล้วแช่ทิ้งไว้ 1 คืน
  3. พอครบเวลา ให้ล้างน้ำสะอาด 1 – 2 รอบ พักข้าวให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปนึ่งให้สุก ใช้เวลา 25 – 30 นาที
  4. พอข้าวเหนียวสุกดีแล้ว ให้นำมากระจายบนถาดให้คลายร้อน แล้วใส่ชามผสม ใส่น้ำดื่มสะอาดลงไปให้พอท่วม ใช้ทัพพีคนข้าวเหนียว ให้ยางข้าวเหนียวละลายน้ำออกให้หมด เสร็จแล้ว เทออก แล้วเติมน้ำลงไปใหม่ ล้างออกหลาย ๆ รอบ จนกว่ายางข้าวเหนียวจะถูกล้างออกจนหมด พอล้างยางข้าวเหนียว จนน้ำใสแล้ว ให้กรองน้ำออก พักให้สะเด็ดน้ำ
  5. นำแป้งข้าวหมากมาบดให้ละเอียด เสร็จแล้ว นำข้าวเหนียวมาใส่ชามผสม แล้วโรยแป้งข้าวหมากให้ทั่ว คลุกเคล้าให้เข้ากันทั้งหมด
  6. พอผสมเข้ากันดีแล้ว ให้ตักข้าวเหนียวใส่ในถ้วยพลาสติก ปิดฝาให้แน่นหนา บ่มทิ้งไว้อย่างน้อย 48 ชั่วโมง เป็นอันรับประทานได้ แต่ถ้าไม่ทานในทันที หรือ ทำขายแนะนำให้เก็บในตู้เย็น แช่เย็นทิ้งไว้ เพื่อไม่ให้เน่าเสีย


ข้าวหมากสีชมพู
ส่วนผสม
  • ข้าวเหนียว 5 ถ้วย
  • แป้งข้าวหมาก 1/2 ก้อน
  • ยีสต์แดง 1 ถ้วยเล็ก


วิธีทำ
  1. นำข้าวเหนียวมาล้างน้ำให้สะอาด หลาย ๆ รอบ จนกว่าน้ำซาวข้าว จะขาวใส
  2. แช่ข้าวเหนียวในน้ำ แล้วใส่ยีสต์แดงลงไป คลุกเคล้าให้ละลายน้ำ แล้วแช่ทิ้งไว้ ประมาณ 20 – 30 นาที
  3. พอครบเวลา ให้ล้างน้ำสะอาด 1 – 2 รอบ พักข้าวให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำไปนึ่งให้สุก ใช้เวลา 20 นาที
  4. พอข้าวเหนียวสุกดีแล้ว ให้นำมากระจายบนถาดให้คลายร้อน แล้วใส่ชามผสม ใส่น้ำดื่มสะอาดลงไปให้พอท่วม ใช้ทัพพีคนข้าวเหนียว ให้ยางข้าวเหนียวละลายน้ำออกให้หมด เสร็จแล้ว เทออก แล้วเติมน้ำลงไปใหม่ ล้างออกหลาย ๆ รอบ จนกว่ายางข้าวเหนียวจะถูกล้างออกจนหมด พอล้างยางข้าวเหนียว จนน้ำใสแล้ว ให้กรองน้ำออก พักให้สะเด็ดน้ำ
  5. นำแป้งข้าวหมากมาบดให้ละเอียด เสร็จแล้ว นำข้าวเหนียวมาใส่ชามผสม แล้วโรยแป้งข้าวหมากให้ทั่ว คลุกเคล้าให้เข้ากันทั้งหมด
  6. พอผสมเข้ากันดีแล้ว ให้ตักข้าวเหนียวใส่ในถ้วยพลาสติก ปิดฝาให้แน่นหนา บ่มทิ้งไว้อย่างน้อย 48 ชั่วโมง เป็นอันรับประทานได้ แต่ถ้าไม่ทานในทันที หรือ ทำขายแนะนำให้เก็บในตู้เย็น แช่เย็นทิ้งไว้ เพื่อไม่ให้เน่าเสีย

การเก็บรักษา ข้าวหมาก: ในการเก็บรักษาข้าวหมากไว้ได้นานนั้นควรเก็บด้วยการซีล แนะนำให้ซีลด้วย เครื่องซีลถุง / เครื่องซีลปากถุง เพื่อไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเข้าไปทำปฏิกิริยากับข้าวหมาก

สูตร สลัดโรล ทำเองง่ายๆ พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ดต้องร้องโอ้โห


สลัดโรลเป็นเมนูเพื่อสุขภาพยอดฮิตที่ถูกใจคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะสาวๆ วัยทำงานที่ต้องการอาหารง่ายๆ กินแล้วไม่อ้วน เพื่อเป็นมื้อเช้าหรือมื้อเย็นแบบเบาๆ แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราลองทำสูตรสลัดโรลด้วยตัวเอง เพื่อให้มั่นใจว่าได้กินผักสด สะอาด และยังสามารถเลือกน้ำสลัดที่ดีต่อสุขภาพได้มากกว่าด้วย ! วันนี้ แอดมิน มี วิธีการทำสลัดโรล ง่ายๆ มาฝาก เก็บไว้ลองทำเองได้เลยนะคะ ทุกสูตรสามารถกะปริมาณวัตถุดิบได้เลยตามชอบ เตรียมเข้าครัวลงมือทำกันได้เลย

วิธีทําสลัดโรล ปูอัด สลัดโรลทูน่า วิธีทําสลัดโรลหมูยอ วิธีทําสลัดโรลปลาทู

 
สูตรนี้วิธีทำเหมือนกันเพียง เปลี่ยนแค่เนื้อสัตว์ ทูน่า ปลาทู ปูอัด ตามชอบ 

วัตถุดิบ
แผ่นแป้ง (แป้งเปาะเปี๊ยะญวน) , เรดโอ๊ค , กรีนโอ๊ค , แครอท (หั่นเป็นเส้นยาว) , แตงกวา (หั่นเป็นเส้นยาว) , ปูอัด หรือ ทูน่า ปลาทู (เนื้อสัตว์ตามชอบ)

วิธีทำ
1. นำแผ่นแป้งจุ่มน้ำ แค่พอเปียก โดยแช่ไม่เกิน 5 นาที หรือแค่แป้งนิ่ม ให้ยกขึ้น อย่าแช่นานเกินแป้งจะเหนียวได้ ห่อยาก
2. กางแผ่นแป้งบนเขียง เรียงผัก และเนื้อสัตว์ บนแป้ง ใช้นิ้วมือจุ่มน้ำเล็กน้อย ม้วนแป้งผักให้แน่น โดยม้วนไปจนสุดเพื่อให้ สลัดโรล ไส้แน่น จากนั้นหั่นครึ่ง จัดใส่จานพร้อมเสิร์ฟ โดยสลัดโรลปูอัด 240 กิโลแคลอรี่

สลัดโรลปูอัดมีดังนี้ เมื่อเทียบต่อปริมาณ 100 กรัม
แผ่นสาหร่าย 100 กรัม. 20 กิโลแคลอรี่ , แตงกวา 100 กรัม. 15 กิโลแคลอรี่ , ผักกรีนโอ๊ค 100 กรัม. 17.2 กิโลแคลอรี่
แครอท 100 กรัม. 50 กิโลแคลอรี่ , ปูอัด 100 กรัม. 84 กิโลแคลอรี่

วิธีทําสลัดโรลสาหร่าย สูตรใหม่ ไม่ใช้แป้ง
สลัดโรลสาหร่าย สูตรม้วนง่าย ๆ โดยใช้สาหร่ายมาห่อแทนแป้ง

วัตถุดิบ
ผักสลัด กรีนโอ๊ค หรือ บัตเตอร์เฮด , แครอท , แตงกวา , แผ่นสาหร่ายอบแห้งที่ไว้สำหรับทำ ซูชิ , ปูอัด

วิธีทำ
1. ล้างผักทั้งหมดให้สะอาด ปอกเปลือกแครอท แตงกวา แล้วหั่นเป็นแท่งยาวพอดีคำ ส่วนผัก กรีนโอ๊คแนะนำให้ตัดส่วนที่แข็งออกเพื่อเวลาห่อสาหร่ายไส้จะได้ไม่แตก . เตรียมปูอัดผ่าเป็นแบ่งครึ่งเป็นชิ้นยาวพอดีคำ
2. ตัดสาหร่ายแผ่นใหญ่เป็นชิ้นพอดีคำสำหรับห่อไส้ นำผักสลัดมาวางเรียง (กรีนโอ๊ค หรือ บัตเตอร์เฮด แครอท แตงกวา ไม่ใส่มากเกินไป เอาแค่พอห่อได้
3. ม้วนสาหร่าย โดยเอาน้ำจุ่มมาทาตรงแผ่นปลายสาหร่าย เพื่อให้แผ่นสาหร่ายติดกัน 

สลัดโรลสาหร่ายมีดังนี้ เมื่อเทียบต่อปริมาณ 100 กรัม
แผ่นสาหร่าย 100 กรัม. 60 กิโลแคลอรี่ , แตงกวา 100 กรัม. 15 กิโลแคลอรี่ , ผักกรีนโอ๊ค 100 กรัม. 17.2 กิโลแคลอรี่
แครอท 100 กรัม. 50 กิโลแคลอรี่ , ปูอัด 100 กรัม. 84 กิโลแคลอรี่

เทคนิค วิธีทําสลัดโรล ให้ ไม่ติดกัน
ปัญหาส่วนใหญ่ๆ ของ วิธ๊การทำสลัดโรล คือการที่แป้งเหนียวติดกัน เวลาห่อแป้งจะชอบติดมือ เวลาห่ออาจจะไม่สวย หรือทานแล้วแป้งติดกันเกินไป ซึ่งมีทริก วิธีทําสลัดโรล ให้ไม่ติดกัน ดังนี้


1. แตะน้ำมันเล็กน้อยที่มือ โดยหลักจากนำแผ่นแป้งชุบน้ำวางบนเขียงแล้ว ใช้มือแตะน้ำมันแบบบางๆ เพียงเล็ก น้ำมันจะไปช่วยละลายความเหนียวของแป้ง
2. อย่าแช่น้ำนานไป โดยแช่ทีละแผ่น เอาแค่น้ำผ่าน ซัก 5 วิ แล้วเอาแผ่นผ่านน้ำขึ้นเลย มันอาจะจะดูเหมือนไม่นิ่มหรือเละ หากแป้งยังไม่นิ่มหรือยังแข็ง เหนียวๆ อยู่ ให้ห่อให้เสร็จ แล้วค่อยเอาน้ำมาลูปเมื่อห่อเสร็จ


หากท่านใดทำสลัดเป็นอาชีพ ทำสลัดขาย ต้องการถนอมอาหาร หรืออยากเก็บสลัดทานได้หลายๆ วัน ขอแนะนำให้มี เครื่องสุญญากาศ ของติดบ้านไว้ โดยรุ่นสำหรับใช้ตามบ้านนั้นมีราคาแค่หลักร้อยเท่านั้น สำหรับ เครื่องซีลสูญญากาศแนะนำให้ซื้อของแบรนด์ Spring Green Evolution เพราะมีสเปคให้เลือกมากมาย พร้อมบริการซัพพอร์ต ปรึกษาปัญหาดีมาก สามารถดู เครื่องซีลสุญญากาศ ได้ที่ 👉 เครื่องดูดสูญญากาศ

แจกสูตร น้ำสลัด
 
1.น้ำสลัด 🥗 โยเกิร์ต
 


น้ำมะนาว 1 ลูก ,โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย, น้ำผึ้งป่า 1 ช้อนโต๊ะ ,  , เกลือเล็กน้อย , ผักพาร์สเลย์ , พริกไทย , กระเทียมครึ่งกลีบ , น้ำมันรำข้าว 1 ช้อนโต๊ะ 

วิธีทำ
1. ใส่ น้ำมันรำข้าว น้ำมะนาว น้ำผึ้งป่า โยเกิร์ตไขมันต่ำ เกลือเล็กน้อย พริกไทย กระเทียมครึ่งกลีบ
ลงไปผสมให้เข้ากัน

2.หั่นใบพาร์สเลย์ ให้ละเอียด ใส่ลงไปตามชอบ คนให้เข้ากัน พร้อมเสิร์ฟ

2.น้ำสลัด 🥗 ครีมซีฟู๊ด


วัตถุดิบ
มายองเนส เบสฟู้ดส์ 250 กรัม , กระเทียมจีน 5 กลีบ , พริกเขียว 50 กรัม , ผักชี รากผักชี 1 ต้น , โหระพา 3 ใบ , น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ , น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ , น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ , เกลือ , น้ำเปล่า

วิธีทำ
1.นำทุกอย่างใส่โถปั่น และปั่นให้ละเอียด

2.ชิมรสชาติ หากเผ็ด ก็ค่อยๆ เพิ่มน้ำตาล หรือปรุงตามชอบ

3.น้ำสลัด 🥗 สูตรมาตรฐาน
วัตถุดิบ
ไข่แดง 8 ฟอง , เกลือป่น 2 ช้อนชา , พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา , มัสตาร์ด 1 ช้อนชา , น้ำตาลทราย 6 ช้อนโต๊ะ , น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ , น้ำมันถั่วเหลือง 1 ถ้วย , นมข้นหวาน 3ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.แยกไข่แดงออกจากไข่ขาว ใส่ถ้วยรอไว้

2.ใส่ไข่แดงลงเครื่องปั่น เกลือ พริกไทยป่น ปั่นสวนผสมให้เข้ากัน

3.ใส่ มัสตาร์ดลงไป นมข้นหวาน ปั่นส่วนผสมให้เข้ากัน

4.ใส่น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชู ปั่นส่วนผสมให้เข้ากัน

5.จากนั้นใส่น้ำมันถั่วเหลือง โดยค่อยๆ ใส่ลง สลับกับปั่น จนน้ำสลัดเข้ากัน (น้ำมันจะช่วยให้น้ำสลัดข้นขึ้น)

6.เทน้ำสลัดใส่ชาม/ถ้วยอลูมิเนียมพักไว้ (ถ้วยหรือชามต้องมีขนาดหม้อ เนื่องจากเราต้องเอาไปวางไว้บนหม้อเพื่ออังความร้อนจากหม้อ)

7.ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นรี่ไฟเหลือไฟกลาง เอาถ้วยทีมีน้ำสลัดวางลงไปบนหม้อ (ใครมีซึ้งอาจใช้ซึ้งนึ่งโดยไม่ต้องปิดฝา) ใช้ตะกร้อตีไข่คนเรื่อยๆ หรือไม้พาย และคอยปาดขอบ เพื่อไม่ให้ไหม้ หรือเป็นก้อนๆ เมื่อไข่สุกหรือได้ที่แล้วยกลงพร้อมใส่กระปุก